[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 322
อรรถกถาสูตรที่ ๘
ประวัติพระปิณโฑลภารทวาชะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 322
อรรถกถาสูตรที่ ๘
ประวัติพระปิณโฑลภารทวาชะ
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้.
บทว่า สีหนาทิกานํ ความว่า ผู้บันลือสีหนาท คือพระบิณโฑลภารทวาชะเป็นยอด ได้ยินมาว่า ในวันบรรลุพระอรหัต ท่านถือเอาผ้ารองนั่งออกจากวิหารนี้ ไปวิหารโน้น ออกจากบริเวณนี้ ไปบริเวณโน้น เที่ยวบันลือสีหนาทว่า ท่านผู้ใด มีความสงสัยในมรรคหรือผล ท่านผู้นั้นจงถามเราดังนี้ ท่านยืนต่อพระพักตรพระพุทธทั้งหลาย บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจที่ควรกระทำในศาสนานี้ถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น ชื่อว่าผู้ยอดของเหล่าภิกษุผู้บันลือสีหนาท ก็ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ต่อไปนี้
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระปิณโฑลภารทวาชะนี้ บังเกิดในกำเนิดสีหะ ณ เชิงบรรพต พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นเหตุสมบัติของท่าน (ความถึงพร้อมแห่งเหตุ) จึงเสร็จทรงบาตรในกรุงสาวัตถี ภายหลังเสวยภัตตาหารแล้ว ในเวลาใกล้รุ่ง เมื่อสีหะออกไปหาเหยื่อ จึงทรงเข้าไปยังถ้ำที่อยู่ของสีหะนั้น ประทับนั่งขัดสมาธิในอากาศเข้านิโรธสมาบัติ พระยาสีหะได้เหยื่อแล้ว กลับมาหยุดอยู่ที่ประตูถ้ำ เห็นพระทศพลประทับนั่งภายในถ้ำ ดำริว่า ไม่มีสัตว์อื่นที่ชื่อว่า สามารถจะมา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 323
นั่งยังที่อยู่ของเรา บุรุษนี้ใหญ่แท้หนอ มานั่งขัดสมาธิภายในถ้ำได้ แม้รัศมีสรีระของท่านก็แผ่ไปโดยรอบ เราไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ บุรุษนี้ จักเป็นยอดของปูชนียบุคคลในโลกนี้ แม้เราควรกระทำสักการะตามสติกำลัง ถวายพระองค์ จึงไปนำดอกไม้ต่างๆ ทั้งที่เกิดในป่า ทั้งที่เกิดบนบก ลาดเป็นอาสนะดอกไม้ ตั้งแต่พื้นจนถึงที่นั่งขัดสมาธิ ยืนนมัสการพระตถาคต ในที่ตรงพระพักตรตลอดคืนยังรุ่ง รุ่งขึ้นวันใหม่ก็นำดอกไม้เก่าออก เอาดอกไม้ใหม่ลาดอาสนะ โดยทำนองนี้ เที่ยวตกแต่งปุบผาสนะถึง ๗ วัน บังเกิดปีติโสมนัสอย่างแรง ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูถ้ำ ในวันที่ ๗ พระศาสดาออกจากนิโรธ ประทับยืนที่ประตูถ้ำ พระยาสีหะราชาแห่งมฤค กระทำประทักษิณพระตถาคต ๓ ครั้ง ไหว้ในที่ทั้ง ๔ แล้วถอยออกไปยืนอยู่ พระศาสดาทรงดำริว่า เท่านี้จักพอเป็นอุปนิสัยแก่เธอ เหาะกลับไปพระวิหารตามเดิม ฝ่ายพระยาสีหะนั้น เป็นทุกข์ เพราะพลัดพรากพระพุทธองค์ กระทำกาละแล้ว ถือปฏิสนธิในตระกูลมหาศาล ในกรุงหงสวดี เจริญวัยแล้ว วันหนึ่งไปพระวิหารกับชาวกรุง ฟังพระธรรมเทศนา บำเพ็ญมหาทาน ๗ วัน โดยนัยที่กล่าวแล้วแต่หลัง กระทำกาละในภพนั้น เวียนว่ายอยู่ในเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงราชคฤห์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยชื่อ มีชื่อว่า ภารทวาชะ ท่านเจริญวัยแล้ว ศึกษาไตรเพท เที่ยวสอนมนต์แก่มาณพ ๕๐๐ คน ท่านรับภิกษาของมาณพทุกคนด้วยตนเองเที่ยวในที่ที่เขาเชื้อเชิญ เพราะตนเป็นหัวหน้า เขาว่าท่านภารทวาชะนี้ เป็นคนมักโลเลอยู่นิดหน่อย คือเที่ยวแสวงหาข้าวต้ม ข้าวสวย และของเคี้ยวไม่ว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 324
ในที่ไหนๆ กับมาณพเหล่านั้น ในที่ที่ท่านไปแล้ว ไปอีก ก็ต้อนรับเพียงข้าวถ้วยเดียวเท่านั้น ดังนั้น จึงปรากฏชื่อว่า ปิณโฑลภาระทวาชะ วันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ ท่านได้ฟังธรรมกถา ได้ศรัทธาแล้ว บวชบำเพ็ญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ในเวลาที่ท่านบรรลุพระอรหัต นั่นเอง ท่านถือเอาผ้าปูนั่งออกจากวิหารนี้ ไปวิหารโน้น ออกจากบริเวณนี้ ไปบริเวณโน้น เที่ยวบันลือสีหนาทว่า ท่านผู้ใดมีความสงสัยในมรรคหรือผล ขอท่านผู้นั้นจงถามเราเถิด
วันหนึ่ง เศรษฐีในกรุงราชคฤห์เอาไม้ไผ่ต่อๆ กันขึ้นไปแขวนบาตร ไม้แก่นจันทน์ มีสีดังดอกชัยพฤกษ์ ไว้ในอากาศ ท่านเหาะไปถือเอาด้วยฤทธิ์ เป็นผู้ที่มหาชนให้สาธุการแวดล้อมไปพระวิหาร วางไว้ในพระหัตถ์ของพระตถาคตแล้ว พระศาสดาทรงทราบอยู่สอบถามว่า ภารทวาชะ เธอได้บาตรนี้ มาแต่ไหน ท่านจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้มา ถวายพระศาสดา ตรัสว่า เธอแสดงอุตตริมนุสสธรรมเห็นปานนี้แก่มหาชน เธอกระทำกรรมสิ่งที่ไม่ควรทำแล้ว ทรงตำหนิโดยปริยายเป็นอันมาก แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรแสดงอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ แก่พวกคฤหัสถ์ทั้งหลาย ผู้ใดขืนแสดงต้องอาบัติทุกกฎ" ดังนี้ ทีนั้นเกิดพูดกันในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ว่า พระเถระที่บันลือสีหนาท ในวันที่ตนบรรลุพระอรหัต บอกในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ว่า ผู้ใดมีความสงสัยในมรรคหรือผล ผู้นั้นจงถามเรา ดังนี้ ในที่ต่อพระพักตรพระพุทธเจ้า ก็ทูลถึงการบรรลุพระอรหัตของตน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 325
พระสาวกเหล่าอื่นก็นิ่ง โดยความที่ตนชอบบันลือสีหนาท นั่นเอง แม้จะทำมหาชนให้เกิดความเลื่อมใส เหาะไปรับบาตรไม้แก่นจันทน์ ภิกษุเหล่านั้นกระทำคุณทั้ง ๓ เหล่านี้เป็นอันเดียวกัน กราบทูลแก่พระศาสดาแล้ว ก็ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ย่อมทรงสรรเสริญ ผู้ที่ควรสรรเสริญ ในฐานะนี้ พระศาสดาทรงถือว่า ความเป็นยอดของพระเถระ ที่สมควรสรรเสริญ นั้นแหละ แล้วสรรเสริญพระเถระว่า ก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอินทรีย์ ๓ นั่นแล เธอเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ภารทวาชภิกษุได้พยากรณ์พระอรหัตแลว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ เราทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ อินทรีย์ ๓ เป็นไฉน คือ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอินทรีย์ ๓ เหล่านี้แล เธอเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ภารทวาชภิกษุ พยากรณ์แล้ว ซึ่งพระอรหัตตผลย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ ดังนี้ จึงทรงสถาปนาไว้ ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุบันลือสีหนาทแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๘