ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้เข้าใจ และปฏิบัติตามจนเห็นความจริงนั้นๆ ก็คือสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏนั้นเป็นธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภท ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น เพราะปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นได้ เช่น ความโลภ ความโกรธความเสียใจ ความทุกข์ ความสุข ความริษยา ความตระหนี่ ความเมตตา ความกรุณา การเห็น การได้ยิน เป็นต้น ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด สภาพธรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภทนั้นต่างกัน เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ กัน
จากหนังสือ ...
ปรมัตถธรรมสังเขป
การที่หลงเหลือความโลภ ความโกรธ และสภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล นั้นเป็นความเห็นผิดเป็นความเข้าใจผิด เพราะธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นแลัวก็ดับไปหมดไปเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตายการหลงเข้าใจผิดว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้นก็เพราะไม่รู้ความจริงของธรรมทั้งปวง เมื่อเห็นขณะใดก็ยึดการเห็นซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เห็นนั้นเป็นตัวตนเป็นเราเห็น เมื่อได้ยินก็ยึดสภาพธรรมที่ได้ยินนั้นเป็นตัวตน เป็นเราได้ยิน เมื่อได้กลิ่นก็ยึดสภาพธรรมที่ได้กลิ่นนั้นเป็นตัวตนเป็นเราได้กลิ่น เมื่อได้ลิ้มรสก็ยึดสภาพธรรมที่ลิ้มรสนั้นเป็นตัวตนเป็นเราลิ้มรสเมื่อคิดถึงนึกเรื่องใดก็ยึดสภาพธรรมที่คิดนึก เป็นตัวตน เป็นเรานึกคิดเป็นต้น
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวงแล้ว พระองค์ก็ทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้รู้ว่าสภาพธรรมทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นปรมัตถธรรม คือเป็นสภาพธรรม ที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละอย่างๆ ไม่มีใคร เปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างๆ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมสภาพนั้นๆ ได้ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ก็ตามใครจะเรียกสภาพธรรมนั้นด้วยคำใดภาษาใดหรือไม่เรียกสภาพธรรมนั้น ด้วยคำใดๆ เลยก็ตาม สภาพธรรมนั้นก็เป็นสภาพธรรม ที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ดังที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม แก่ท่าพระอานนท์ว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วมีแล้วปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
เมื่อความไม่รู้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลแล้วก็ย่อมทำให้เกิดความยินดีพอใจ หลงยึดถือเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ในยศฐาบรรดาศักดิ์ชาติตระกูลวรรณะเป็นต้น ความจริงนั้น สิ่งที่มองเห็นเป็นเพียงสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นสภาพธรรม แต่ละชนิดที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างๆ กัน
การหลงยึดสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้น อุปมาเหมือนคนเดินทาง ในที่ซึ่งย่อมเห็นเหมือนกับว่ามีเงาน้ำอยู่ข้างหน้า แต่เมื่อเข้าใกล้ เงาน้ำก็หายไป เพราะแท้จริงหามีน้ำไม่ เงาน้ำที่เห็นเป็นมายา เป็นภาพลวงตา ฉันใด การเข้าใจผิดว่า สภาพธรรมทั้งหลาย เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะความไม่รู้ เพราะความจำ เพราะความยึดถือ ก็ฉันนั้น
คำว่า สัตว์ บุคคล หญิง ชาย เป็นต้นนั้น เป็นเพียงคำบัญญัติให้รู้ความหมายของสิ่งที่เห็น ที่ได้ยิน เป็นต้น อีกประการหนึ่ง ย่อมจะเห็นได้ว่า วัตถุสิ่งของต่างๆ เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว และเรื่องต่างๆ นั้น ถึงแม้จะวิจิตรสักเพียงใด ก็จะปรากฏให้รู้ไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ซึ่งได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตัว รู้ตึง รู้ไหว การรู้ความหมายของสิ่งต่างๆ และการนึกคิด
ขออนุโมทนาด้วยนะ
แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมวินัยยังคงอยู่ เพื่อเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ผู้เป็นสาวก
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา
โมหะ มีความมืดมนแห่งจิตเป็นลักษณะ หรือมีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีความไม่แทงตลอดเป็นรส หรือมีความปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นรสมีการไม่ปฏิบัติโดยชอบเป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความมืดมนเป็นปัจจุปัฏฐานมีการทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายเป็นปทัฏฐาน พึงทราบว่า เป็นมูลของอกุศลธรรมทั้งปวง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
และขออนุโมทนาครับ
สาธุ วิจิตร!
จะพยายามศึกษาต่อไป จนกว่าจะเห็นตามความเป็นจริง ถึงแม้จะยังมีความไม่เข้าใจอยู่อย่างมากก็ตาม ความเข้าใจได้ช้านั้นใครที่ไหนจะได้ทำให้ พระธรรมของจริงนี้ใช่ใครใคร่จะรู้แล้วจะรู้ได้ง่ายๆ เป็นผู้มืดบอดมา ก็เพียงปราถนามีความสว่างไปในเบื้องหน้าขออนุโมทนากับ บ้านธัมมะด้วยครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ จะ ตั้งใจศึกษาธรรมะต่อไป ด้วยความไม่ใช่ตัวตนครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ยินดีในกุศลจิตค่ะ