ตั้งแต่ตื่นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ทุกคนมีรูปร่างกาย ที่กระทบเย็นร้อน อ่อนแข็งตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาที่นอนอ่อนหรือแข็ง ลุกขึ้นมาบริหารร่างกาย อาบน้ำชำระร่างกาย แปรงสีฟัน ขัน สบู่ ฯลฯ ก็แข็ง ขณะบริโภคอาหารช้อน ส้อม มีด ถ้วย จาน ชาม ก็แข็ง ตลอดจนกระทั่งออกจากบ้าน เดินถือร่ม ขับรถยนต์ ทำอะไรๆ ในชีวิตประจำวัน ก็มีสภาพแข็งปรากฏ มีเย็น ร้อนอ่อน แข็ง เป็นธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ปรากฏทางตาธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน เสียงที่ปรากฏทางหูธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน กลิ่น รสที่ปรากฏธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันนั้นทำให้กิเลส เพิ่มขึ้นหรือว่าทำให้ปัญญาเจริญขึ้น? นี่เป็นความแตกต่างกันของผู้ที่ศึกษาพระธรรม กับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมนั้น เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสแล้ว กิเลสก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสนั้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็ย่อมชอบ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็ขุ่นเคืองเป็นธรรมดา แต่ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เริ่มระลึกรู้พิจารณาลักษณะ อ่อน หรือแข็ง ฯลฯ ที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันนั่นเองเริ่มระลึกรู้ว่า "แข็ง" เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เห็น ไม่ใช่เสียง ฯลฯ และปัญญาจะ ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปรกติ จนสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทด้วยการฟัง ศึกษาพิจารณาธรรมจนประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือ การอบรมเจริญปัญญา
เมื่อพุทธบริษัทกล่าวว่า "พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํสรณํ คจฺฉามิ" ก็ควรถึงพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจอย่างถูกต้องและน้อมประพฤติปฏิบัติตาม อบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยสาวก
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ