[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 815
๕. จุลลโพธิชาดก
ว่าด้วยความโกรธ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 815
๕. จุลลโพธิชาดก
ว่าด้วยความโกรธ
[๑๓๖๗] ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าจะมีบุคคลมา พาเอานางปริพพาชิกา ผู้มีนัยน์ตากว้างงามน่ารัก มีใบหน้าอมยิ้ม ของท่านไปด้วยกำลัง ท่านจะทำอย่างไรเล่า?
[๑๓๖๘] ถ้าความโกรธเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่หาย อาตมภาพ จะห้ามกันเสียโดยพลันทีเดียว ดังฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.
[๑๓๖๙] ท่านกล่าวอวดอ้างไว้ ในวันก่อนอย่างไร หนอ วันนี้เป็นเหมือนว่า มีกำลัง ทำเป็นไม่เห็น นั่งนิ่ง เย็บสังฆาฏิอยู่ในบัดนี้.
[๑๓๗๐] ความโกรธเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่หาย แต่อาตมภาพ ได้ห้ามกันแล้วโดยพลัน เหมือนฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 816
[๑๓๗๑] ความโกรธเกิดขึ้น แก่ท่านแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เป็นอย่างไร เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ความโกรธก็ยังไม่หาย เป็นอย่างไร ท่านได้ห้ามกันความโกรธ เหมือนฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น เป็นไฉน?
[๑๓๗๒] เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น เมื่อความโกรธไม่เกิดขึ้น บุคคลย่อมเห็นได้ดี ความโกรธนั้นเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธ เป็นอารมณ์ของคนไร้ปัญญา.
[๑๓๗๓] ชนทั้งหลาย ย่อมยินดีด้วยความโกรธ ที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า เป็นศัตรูแก่ตัวเอง หาความทุกข์ใส่ตัว ความโกรธนั้นเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธ เป็นอารมณ์ของคนไร้ปัญญา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 817
[๑๓๗๔] อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น บุคคลย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตน ความโกรธนั้นเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธ เป็นอารมณ์ของคนไร้ปัญญา.
[๑๓๗๕] ผู้ที่ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมละทิ้งกุศลเสีย แลจะซัดส่ายประโยชน์ แม้มากมายได้ เขาประกอบด้วยเสนา คือ กิเลสหมู่ใหญ่ น่ากลัว มีกำลัง สามารถปราบผู้อื่น ให้อยู่ในอำนาจได้ ความโกรธนั้น ยังไม่เสื่อมคลายไป จากอาตมภาพ ขอถวายพระพร.
[๑๓๗๖] ธรรมดาไฟ ย่อมเกิดขึ้นที่ไม้สีไฟ อันบุคคลสีอยู่ ไฟเกิดขึ้นแต่ไม้ใด ย่อมเผาไม้นั้นเอง ให้ไหม้.
[๑๓๗๗] ความโกรธย่อมเกิดขึ้น แก่คนพาล ผู้โฉดเขลา ไม่รู้จริง เพราะความแข่งดี แม้เขา ก็ถูกความโกรธ นั้นแหละ เผาลน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 818
[๑๓๗๘] ความโกรธ ย่อมเจริญขึ้นแก่ผู้ใด ดุจไฟเจริญขึ้น ในกองหญ้าแลไม้ ฉะนั้น ยศของบุคคลนั้น ย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น.
[๑๓๗๙] ความโกรธของผู้ใด สงบลงได้ ประดุจไฟที่ไม่มีเชื้อ ฉะนั้น ยศของผู้นั้น ย่อมเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.
จบ จุลลโพธิชาดกที่ ๕
อรรถกถาจุลลโพธิชาดกที่ ๕
พระศาสดา เมื่อประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุมักโกรธรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เต อิมํ วิสาลกฺขึ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้น แม้บวชในพระพุทธศาสนา ที่จะนำออกจากทุกข์ ก็ไม่สามารถเพื่อจะข่มความโกรธได้ เป็นคนมักโกรธ มากไปด้วยความเคียดแค้นเสมอ เมื่อถูกกล่าวว่าเพียงเล็กน้อย ก็ขุ่นแค้นโกรธ มุ่งร้ายหมายขวัญ ดังนี้แหละ พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุรูปนั้น มักโกรธ จึงรับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 819
เธอเป็นคนมักโกรธจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ดังนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า ความโกรธ เธอควรจะห้ามเสีย อันความโกรธเห็นปานนี้ ที่จะทำประโยชน์ให้ในโลกนี้ และโลกหน้า เป็นไม่มี เธอบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่ไม่โกรธแล้ว เหตุไรจึงยังโกรธเล่า? จริงอยู่ โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้บวชแล้ว ในลัทธินอกพุทธศาสนา ก็ยังไม่ทำความโกรธ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี ณ นิคมของชาวกาสีแห่งหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่ง มีโภคทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร นางพราหมณีภรรยาของเขา อยากได้บุตร คราวนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากพรหมโลก มาบังเกิดในท้องนางพราหมณี ในวันตั้งชื่อกุมารนั้น ญาติทั้งหลายตั้งชื่อว่า โพธิกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้ว ไปเมืองตักกศิลา เรียนศิลปะทุกอย่าง สำเร็จแล้วกลับมา มารดาบิดาได้นำกุมาริกา ผู้มีตระกูลเสมอกัน มาให้เขา ผู้ซึ่งยังไม่ปรารถนาเลย แม้กุมาริกานั้น ก็จุติจากพรหมโลกเหมือนกัน มีรูปร่างงามเลิศเปรียบด้วยเทพอัปสร โพธิกุมารกับนางกุมาริกา ต่างไม่ปรารถนาเป็นสามีภรรยากัน ญาติทั้งหลาย ก็จัดการอาวาห วิวาหมงคลให้ ก็ชนแม้ทั้งสองนั้น ไม่เคยมีความฟุ้งซ่านด้วยกิเลส เพียงแต่จะแลดูกัน ด้วยอำนาจแห่งราคะก็มิได้มี ขึ้นชื่อว่า เมถุนธรรม ไม่เคยประสบแม้ในฝัน ทั้งสองได้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ด้วยประการ ฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 820
ต่อมาภายหลัง เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมแล้ว พระมหาสัตว์ ได้จัดการปลงศพของท่านทั้งสอง เสร็จเรียบร้อยแล้ว เรียกนางกุมาริกา มาสั่งว่า ที่รัก เธอจงรับทรัพย์ ๘๐ โกฏินี้ ไว้เลี้ยงชีพให้เป็นสุขเถิด นางกุมาริกาถามว่า ข้าแต่ลูกเจ้าก็ตัวท่านเล่า? พระมหาสัตว์ตอบว่า ฉันไม่มีกิจด้วยทรัพย์ ฉันจักเข้าไปถิ่นหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษีทำที่พึ่งแก่ตน นางกุมาริกาถามว่า ข้าแต่ลูกเจ้า ก็การบรรพชานั้น ควรแก่พวกบุรุษ เท่านั้นหรือ? พระมหาสัตว์ตอบว่า แม้พวกสตรีก็ควร ที่รัก. นางกุมาริกา จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันจักไม่รับเขฬะที่ท่านถ่มทิ้งไว้ แม้ฉันก็ไม่มีกิจด้วยทรัพย์ ถึงฉันก็จักบวช พระมหาสัตว์ก็รับรองว่า ดีแล้ว. ที่รัก เขาทั้งสอง ได้ให้ทานเป็นการใหญ่ แล้วออกไปสร้างอาศรม ในภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ บวชแล้ว เที่ยวแสวงหาผลาผลเลี้ยงชีพ อยู่ในที่นั้น ประมาณ ๑๐ ปี ฌานสมาบัติ ก็มิได้เกิดขึ้นแก่เขาทั้งสองนั้นเลย ฤๅษีทั้งสองอยู่ในที่นั้น ๑๐ ปี ด้วยความสุขเกิดแต่บรรพชาเท่านั้น เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มรสเปรี้ยว จึงเที่ยวจาริกไปตามชนบท ถึงพระนครพาราณสี โดยลำดับ อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทอดพระเนตร เห็นบุรุษเฝ้าสวน ถือเครื่องบรรณาการมาเฝ้า จึงตรัสว่า เราจักไปชมสวน เจ้าจงชำระสวน ให้สะอาด ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังพระราชอุทยานที่นายอุทยานบาลนั้น ชำระสะอาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก. ขณะนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 821
ชนทั้งสองแม้เหล่านั้น นั่งให้กาลล่วงไป ด้วยความสุขอันเกิดแต่บรรพชาอยู่ ณ ด้านหนึ่งของพระราชอุทยาน. ลำดับนั้น พระราชาเสด็จประพาส พระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตร เห็นชนแม้ทั้งสองนั้น ผู้นั่งอยู่แล้ว เมื่อทรงแลดูนางปริพพาชิกาผู้มีรูปร่างงามเลิศ น่าเลื่อมใสยิ่ง ก็มีพระทัยปฏิพัทธ์ พระองค์ทรงสะท้านอยู่ ด้วยอำนาจแห่งกิเลส ทรงพระดำริว่า เราจักถามดูก่อน นางปริพพาชิกานี้ จะเป็นอะไรกันกับ ดาบสนี้ แล้วเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ตรัสถามว่า ข้าแต่บรรพชิต นางปริพพาชิกานี้ เป็นอะไรกันกับท่าน. พระดาบสตอบว่า มหาบพิตร ไม่ได้เป็นอะไรกัน เป็นแต่บวชด้วยกัน อย่างเดียว ก็แต่ว่า เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ นางนี้ได้เป็นบาทบริจาริกาของอาตมภาพ พระราชาได้ทรง สดับดังนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า นางนี้ มิได้เป็นอะไรกัน กับพระดาบสนั้น แต่เป็นบาทบริจาริกา เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ ก็ถ้าเราจักพาเอานางนี้ ไปด้วยกำลังความเป็นใหญ่ไซร้ พระดาบสนี้ จักทำอย่างไรหนอ แลเราจักสอบถาม ดาบสนั้นดูก่อน ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปใกล้ กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าจะมีบุคคล มาพาเอานางปริพพาชิกา ผู้มีนัยน์ตากว้างงามน่ารัก มีใบหน้าอมยิ้ม ของท่านไปด้วยกำลัง ท่านจะทำอย่างไรเล่า?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 822
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํสิลหาสินึ ได้แก่ ผู้มีใบหน้ายิ้มเล็กน้อย. บทว่า พลา คจฺเฉยฺย ได้แก่ พาเอาไปด้วยพลการ. บทว่า กึ นุ กยิราสิ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจะทำอย่างไร แก่บุคคลนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ได้ฟังพระดำรัส ของพระราชานั้นแล้ว กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ถ้าความโกรธเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่หาย อาตมภาพ จะห้ามมันเสีย โดยพลันทีเดียว ดังฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.
พึงทราบเนื้อความแห่งคำ อันเป็นคาถานั้น ดังนี้ :-
ข้าแต่มหาบพิตร ถ้าเมื่อใครๆ พานางนี้ไป ความโกรธ พึงเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ ในภายใน ความโกรธนั้น ครั้นเกิดขึ้นแก่อาตมภาพ ในภายในแล้ว ไม่พึงเสื่อมคลายไป จะไม่พึงเสื่อมคลายไป ตราบเท่าที่ อาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ อาตมาภาพ ก็จักไม่ให้ความโกรธนั้น ตั้งอยู่ข้างใน โดยการอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มก้อนได้ โดยที่แท้แล อาตมภาพ จะข่มห้ามกันเสีย ด้วยเมตตาภาวนา โดยพลัน เหมือนเมล็ดฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลีที่เกิดขึ้นแล้ว โดยพลัน ฉะนั้น.
พระมหาสัตว์ ได้บันลือสีหนาทอย่างนี้. ฝ่ายพระราชา แม้ได้ทรงสดับถ้อยคำ ของพระมหาสัตว์แล้ว ก็ไม่อาจจะห้ามพระทัย ของพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 823
ที่ทรงปฏิพัทธ์ได้ เพราะเป็นอันธพาล ทรงบังคับอำมาตย์คนหนึ่งว่า เธอจงนำนางปริพพรชิกานี้ไปยังพระราชนิเวศน์ อำมาตย์นั้น รับพระราชบัญชาแล้ว ได้พานางปริพพาชิกา ผู้คร่ำครวญอยู่ว่า อธรรมกำลังเป็นไปในโลก ไม่สมควรเลย ดังนี้ เป็นต้นไปแล้ว พระโพธิสัตว์ สดับเสียงคร่ำ ครวญของนาง แลดูครั้งเดียวแล้ว ไม่ได้แลดูอีก พวกราชบุรุษก็นำนาง ผู้ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ไปสู่พระราชนิเวศน์แล้ว พระราชาพาลแม้นั้นก็มิ ได้เนิ่นช้าอยู่ในพระราชอุทยาน รีบเสด็จไปพระราชวัง รับสั่งให้หานางปริพพาชิกานั้นมา แล้วเชื้อเชิญด้วยยศอันยิ่งใหญ่ แต่นางได้พรรณนา โทษของยศ และคุณของบรรพชาอยู่เรื่อย พระราชาทรงใช้วิธีการต่างๆ ก็ไม่สามารถจะผูกใจนางไว้ได้ จึงรับสั่งให้ขังนางไว้ ในห้องหนึ่ง แล้วทรงริดำว่า นางปริพพาชิกานี้ มีศีลมีกัลยาณธรรม ไม่ปรารถนายศเห็นปานนี้ แม้พระดาบสนั้น เมื่อคนเขาพานางที่ดีเห็นปานนี้ไป ก็ มิได้แลดูด้วยความโกรธ แต่ธรรมดาบรรพชิต ย่อมมีมายามาก ประกอบอะไรๆ ขึ้นแล้ว จะพึงทำความพินาศให้แก่เรา เราจะไปดูให้รู้ก่อนว่า แกนั่งทำอะไรอยู่ ดำริดังนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ จึงเสด็จไปพระราชอุทยาน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ได้นั่งเย็บจีวรอยู่ พระราชาพร้อมด้วยบริวารเล็กน้อย ค่อยๆ เสด็จเข้าไปไม่ให้มีเสียงพระบาท พระโพธิสัตว์ ไม่ได้แลดูพระราชา เย็บจีวรเรื่อยไป พระราชาเข้าพระทัยว่า พระดาบสนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 824
โกรธจึงไม่ปราศรัยกับเรา แลด้วยทรงสำคัญว่า ดาบสโกงนี้ ทีแรกอวด อ้างว่า จักไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้น แม้ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จักข่มเสียโดยเร็ว บัดนี้เป็นผู้กระด้าง ด้วยความโกรธ ไม่ปราศรัยกับเรา ดังนี้ จึงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า :-
ท่านกล่าวอวดอ้างไว้ ในวันก่อนอย่างไรหนอ วันนี้เป็นเหมือนว่า มีกำลัง ทำเป็นไม่เห็น นั่งนิ่ง เย็บสังฆาฏิอยู่ ในบัดนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลมฺหิว อปสฺสิโต คือ เป็นเหมือน ว่าอาศัยกำลัง. บทว่า ตุณฺหีกโต ได้แก่ ไม่พูดคำอะไรๆ. บทว่า สิพฺพมจฺฉสิ เท่ากับ สิพฺพนฺโต อจฺฉสิ แปลว่า เย็บอยู่.
พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า พระราชานี้ เข้าพระทัยว่า ที่เราไม่ปราศรัย ก็ด้วยอำนาจความโกรธ เราจักทูลความ ที่เราไม่ลุอำนาจความโกรธ ที่เกิดขึ้น ให้ทรงทราบในบัดนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ความโกรธเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังไม่หาย แต่อาตมภาพ ได้ห้ามกันแล้ว โดยพลัน เหมือนฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.
พึงทราบเนื้อความแห่งคำ อันเป็นคาถานั้นว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 825
ข้าแต่มหาบพิตร ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพ ความโกรธนั้น ครั้นเกิดขึ้นแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป จากอาตมภาพอีก อาตมภาพไม่ได้ให้ความโกรธนั้น เข้าไปตั้งอยู่ในหทัยได้ เมื่ออาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ ความโกรธนั้น ก็ยังไม่ตาย ด้วยประการฉะนี้ แต่อาตมภาพ ได้ห้ามกันแล้ว โดยฉับพลัน เหมือนเมล็ดฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น.
พระราชาทรงสดับ ดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ดาบสนี้พูด หมายถึง ความโกรธเท่านั้น หรือหมายถึง ศิลปะอะไรๆ อย่างอื่นด้วย เราจักถามท่านดูก่อน เมื่อจะตรัสถาม ได้ตรัสคาถาที่ ๕ ว่า :-
ความโกรธเกิดขึ้น แก่ท่านแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เป็นอย่างไร เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ความโกรธก็ยังไม่หาย เป็นอย่างไร ท่านได้ห้ามกันความโกรธ เหมือนฝนห่าใหญ่ ชำระล้างธุลี ฉะนั้น เป็นไฉน?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺเต อุปฺปชฺชิโน มุญฺจิ ความว่า ความโกรธเกิดขึ้น แก่ท่านด้วย ยังไม่เสื่อมคลายไปแล้วด้วย เป็นอย่างไร?
พระโพธิสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า มหาบพิตร ความโกรธ มีโทษมากมายอย่างนี้ เพราะประกอบด้วยความพินาศใหญ่ ความโกรธ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 826
ชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพ แต่ว่าอาตมภาพได้ห้ามกัน ความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้ ด้วยเมตตาภาวนา ดังนี้แล้ว เมื่อจะประกาศโทษ ในความโกรธ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น เมื่อความ โกรธไม่เกิดขึ้น บุคคลย่อมเป็นได้ดี ความโกรธนั้น เกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อม คลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ ของคนไร้ปัญญา.
ชนทั้งหลาย ย่อมยินดีด้วยความโกรธ ที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า เป็นศัตรูแก่ตัวเอง หาความ ทุกข์ใส่ตัว ความโกรธนั้นเกิดขึ้น แก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธเป็น อารมณ์ ของคนไร้ปัญญา.
อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น บุคคลย่อมไม่รู้จักประโยชน์ตน ความโกรธนั้น เกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ ของคนไร้ปัญญา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 827
ผู้ที่ถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมละทิ้งกุศลเสีย แลจะซัดส่ายประโยชน์แม้มากมายได้ เขาประกอบด้วยเสนา คือ กิเลสหมู่ใหญ่ที่น่ากลัว มีกำลัง สามารถปราบผู้อื่น ให้อยู่ในอำนาจได้ ความโกรธนั้น ยังไม่เสื่อมคลายไป จากอาตมภาพ ขอถวายพระพร.
ธรรมดาไฟย่อมเกิดขึ้น ที่ไม้สีไฟ อันบุคคลสีอยู่ ไฟเกิดขึ้น แต่ไม้ใด ย่อมเผาไม้นั้นเอง ให้ไหม้.
ความโกรธย่อมเกิดขึ้น แก่คนพาล ผู้โฉดเขลา ไม่รู้จริง เพราะความแข่งดี แม้เขาก็ถูกความโกรธ นั้นแหละ เผาลน.
ความโกรธย่อมเจริญขึ้น แก่ผู้ใด ดุจไฟเจริญขึ้น ในกองหญ้าแลไม้ ฉะนั้น ยศของบุคคลนั้น ย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น.
ความโกรธของผู้ใด สงบลงได้ ประดุจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 828
ไฟ ที่ไม่มีเชื้อ ฉะนั้น ยศของผู้นั้น ย่อมเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ปสฺสติ คือ ย่อมไม่เห็น แม้กระทั่งประโยชน์ตน จะป่วยกล่าวไปไย ถึงประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า สาธุ ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นได้ดี. บทว่า ทุมฺเมธโคจโร คือ เป็นสถานที่รองรับของบุคคล ผู้ไร้ปัญญาทั้งหลาย. บทว่า ทุกฺขเมสิโน คือ อยากได้ทุกข์ใส่ตัว.
บทว่า สทตฺถํ ได้แก่ สิ่งที่เป็นประโยชน์ของตน คือ ความเจริญทั้งโดยอรรถ และโดยธรรม. บทว่า ปรกฺกเร ได้แก่ ทำประโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไพบูลย์ ให้เป็นของคนอื่น ท่านทั้งหลายจงนำออกไป อาตมภาพไม่ต้องการสิ่งนี้.
บทว่า ส ภีมเสโน ความว่า เขาประกอบด้วยเสนา คือ กิเลสหมู่ใหญ่ ที่จะให้ภัยเกิดขึ้น. บทว่า ปมทฺที คือ เพราะค่าที่ตน เป็นผู้มีเสนา คือ กิเลสหนา จึงเป็นผู้สามารถ ที่จะจับสัตว์ทั้งหลาย แม้เป็นอันมาก มาปราบปราม ด้วยการกระทำ ให้อยู่ในอำนาจของตนได้. บทว่า น เม อมุญฺจิตฺถ ความว่า ไม่ได้หลุดพ้นไป จากสำนักของอาตมภาพ อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่ตั้งอยู่ในหทัยของอาตมภาพ ดุจน้ำนม ไม่ตั้งอยู่ โดยความเป็นนมส้ม เพียงชั่วครู่ ฉะนั้น ดังนี้ก็มี.
บทว่า กฏฺสฺมึ มตฺถมานสฺมึ ได้แก่ อันบุคคลสีอยู่ ด้วยไม้สีไฟ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 829
บาลีว่า มตฺถมานสฺมึ ดังนี้ ก็มี. บทว่า ยสฺมา ความว่า ไฟเกิดขึ้น แต่ไม้ใด ก็เผาไม้อันนั้นเอง. ไฟ ชื่อว่า คินิ.
บทว่า พาลสฺส อวิชานโต เท่ากับ พาลสฺส อวิชานนฺตสฺส แปลว่า ผู้โง่เขลา ไม่รู้จริง. บทว่า สารมฺภา ชายเต ความว่า ความโกรธ ย่อมเกิดขึ้นแก่คน ผู้ทำการฉุดมาฉุดไปว่า ฉันว่าท่านเพราะความแข่งดี อันมีเพราะทำให้เกินกว่าเหตุ เป็นลักษณะ ดุจไฟป่าเกิดขึ้น เพราะการเสียดสีแห่งไม้สีไฟ ฉะนั้น.
บทว่า โสปิ เตเนว ความว่า แม้เขา คือ คนพาล ก็ถูกความโกรธ นั่นแหละ เผาลน ดุจไม้ถูกไฟเผาอยู่ ฉะนั้น. บาทคาถาว่า อนินฺโท ธูมเกตุว แปลว่า ดุจไฟที่ไม่มีเชื้อ ฉะนั้น. บทว่า ตสฺส เป็นต้น ความว่า ยศที่บุคคล ผู้ประกอบด้วยอธิวาสนขันตินั้น ได้แล้ว ย่อมเต็มเปี่ยมเหมือน พระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.
พระราชา ทรงฟังธรรมกถา ของพระมหาสัตว์แล้ว ทรงยินดี รับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่ง นำนางปริพพาชิกามา แล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โดยที่ไม่มีความโกรธ ขอท่านทั้งสอง จงดำรงอยู่ด้วยความสุข เกิดแต่บรรพชา อยู่ในพระราชอุทยานนี้เถิด ข้าพเจ้าจะช่วยพิทักษ์รักษา โดยชอบธรรมแก่ท่านทั้งสอง ครั้นแล้ว ได้ขอขมาโทษ นมัสการแล้ว เสด็จหลีกไป บรรพชิตทั้งสองนั้นได้ อยู่ ณ พระราชอุทยานนั่นเอง ต่อมานางปริพพาชิกา ถึงมรณภาพ พระโพธิสัตว์ เมื่อนางปริพพาชิกาถึงมรณภาพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 830
แล้วก็เข้าถิ่นหิมพานต์ไป ทำอภิญญา และสมาบัติให้เกิด เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วไปสู่พรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ ภิกษุมักโกรธ ได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล พระทศพล ทรงประชุมชาดกว่า นางปริพพาชิกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นมารดาพระราหุลในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนปริพพาชก ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถา จุลลโพธิชาดกที่ ๕