เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
"สิ่งที่ปรากฏ .. เป็นเพียงธรรม" พจนาท่านอาจารย์ในพระอภิธรรมพื้นฐาน 529 ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้ความละเอียดประโยคนี้ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
(ดอกบัวบานสวยงามหน้าอาคาร มศพ. บันทึกบ่ายวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
สิ่งที่ปรากฏ คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และที่จะมีการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คือ รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งมีลักษณะให้รู้ตามความเป็นจริงได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ แต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย
การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ และที่ฟัง ที่ศึกษา ก็คือ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง นั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ.....
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ครับ
สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แม้ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยทั้งสิ้น แต่ มีจริงๆ เป็นสิ่งเดียว ที่ปรากฏ ให้เห็นได้ ว่ามีลักษณะอย่างนี้แหละ เป็นอย่างนี้แหละ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้นเหมือน มองเงาในกระจก มีใครในกระจกหรือเปล่า มีหรือเปล่า แต่เห็นทีไร “เป็นเรา” ทุกที ไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฉันใดนะคะ เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันค่ะ ไม่ว่าจะ “เห็น” ที่ไหน โลกไหน วันไหนก็ตาม “สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้” ที่จะละคลายความติดข้องละคลายการยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ด้วย การเพิ่มความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ลืมว่าขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ถ้า รู้ว่า “ทุกอย่าง เกิดดับ อย่างเร็วมาก” จักขุปสาทะ ไม่เที่ยง ข้อความใน พระไตรปิฎก ทุกคนก็ผ่านสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า รูปารัมมะณะ หรือ รูปารมณ์ หรือ จะใช้คำว่า วัณโณ ก็ได้ ก็ไม่เที่ยงได้ยินอย่างนี้ แต่ก็เหมือนเที่ยง ยังไม่เห็นปรากฏการดับไปเลยพร้อมกันนั้น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วนะคะก็ปรากฏพร้อม “นิมิต” ที่ตั้งขึ้นว่า เป็นรูปร่างสัณฐานอย่างนี้ จำไว้เลยว่านี่เป็นอะไร เพราะฉะนั้น กว่าจะไถ่ถอนการยึดถือ สภาพที่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่ความจริงเพียงปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วปรากฏให้เห็นได้ที่จะเข้าใจว่าเป็นธัมมะ ซึ่งไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นอนัตตา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เพียงสิ่งที่ปรากฏ เช่น เห็น เป็นธรรมะที่มีจริง เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็ผ่านไป หมดไป เป็นธรรมะไม่ใช่เราค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ