[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 122
เถราปทาน
ปังสุกูลวรรคที่ ๔๙
ญาณถวิกเถราปทานที่ ๔ (๔๘๔)
ว่าด้วยผลแห่งการสรรเสริญพระพุทธญาณ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 122
ญาณถวิกเถราปทานที่ ๔ (๔๘๔)
ว่าด้วยผลแห่งการสรรเสริญพระพุทธญาณ
[๗๔] เราสร้างอาศรมอย่างสวยงามไว้ ณ ทิศทักษิณแห่งภูเขาหิมวันต์ ครั้งนั้น เราเสาะหา ประโยชน์อันสูงสุด จึงอยู่ในป่าใหญ่
เรายินดีด้วยลาภและความเสื่อมลาภ คือ ด้วยเหง้ามันและผลไม้ ไม่เบียดเบียนใครๆ เที่ยว ไป เราอยู่คนเดียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 123
ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์กำลัง รื้อขนมหาชน ทรงประกาศสัจจะอยู่
เรามิได้สดับข่าวพระสัมพุทธเจ้า ถึง ใครๆ ที่จะบอกกล่าวให้เรารู้ก็ไม่มี เมื่อล่วงไป ได้ ๘ ปี เราจึงได้สดับข่าวพระนายกของโลก
เรานำเอาไฟและฟืนออกไปเสียแล้ว กวาดอาศรม ถือเอาหาบสิ่งของออกจากเตาไป
ครั้งนั้นเราพักอยู่ในบ้านและนิคมแห่ง ละคืน เข้าไปใกล้พระนครจันทวดีโดยลำดับ
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของ โลกพระนามว่าสุเมธะ กำลังรื้อขนสัตว์เป็นอัน มาก ทรงแสดงอมตบท
เราได้ผ่านหมู่ชนไปถวายบังคมพระชินเจ้า ผู้เสด็จมาดี ทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้ว สรรเสริญพระผู้นำของโลกว่า
พระองค์เป็นพระศาสดาประหนึ่งยอด เป็นธงชัยและเป็นเสายัญของหมู่สัตว์ เป็นที่ยึด หน่วง เป็นที่พึ่ง และเป็นเกาะของหมู่สัตว์ เป็น ผู้สูงสุดกว่าสัตว์.
จบภาณวารที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 124
พระองค์เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ใน ทัศนะ ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปได้ ข้าแต่พระมุนี ผู้อื่นที่จะช่วยให้สัตว์ข้ามพ้นไป ยิ่งไปกว่าพระองค์ ไม่มีในโลก
สาครแสนลึกสุด ก็พึงอาจที่จะประมาณ ได้ด้วยปลายหญ้าคา ข้าแต่พระสัพพัญญู ส่วน พระญาณของพระองค์ ใครๆ ไม่อาจจะประมาณ ได้เลย
แผ่นดิน ก็อาจที่จะวางบนตาชั่งแล้ว กำหนดได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ แต่สิ่งที่เสมอ กับพระปัญญาของพระองค์ไม่มีเลย
อากาศก็อาจจะวัดได้ด้วยเชือกและนิ้วมือ ข้าแต่พระสัพพัญญู ส่วนศีลของพระองค์ ใครๆ ไม่อาจจะประมาณได้เลย
น้ำในมหาสมุทร อากาศและภูมิภาค ๓ อย่างนี้ประมาณเอาได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ พระองค์ย่อมเป็นผู้อันใครๆ จะประมาณเอาไม่ ได้เลย
เรากล่าวสรรเสริญพระสัพพัญญู ผู้มี พระยศใหญ่ ด้วยคาถา ๖ คาถาแล้ว ประนมกร อัญชลี ยืนนิ่งอยู่ในเวลานั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 125
พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาเสมอด้วย แผ่นดิน เป็นเมธีชั้นดี เขาขนานพระนามว่า สุเมธะ.
ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาลาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมีใจเลื่อมใส ได้ กล่าวสรรเสริญญาณของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ๗๗ กัป จัก เป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติอยู่ในเทวโลก ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเกินกว่า ร้อยครั้ง
และจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอัน ไพบูลย์ โดยคณานับมิได้ เขาเป็นเทวดาหรือ มนุษย์ จักเป็นผู้ตั้งมั่นในบุญกรรม จักเป็นผู้ ความดำริแห่งใจไม่บกพร่อง มีปัญญากล้า
ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ พระศาสดามีพระนามว่า โคดม จักทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ผู้นี้ไม่มีความกังวล ออกบวชเป็น บรรพชิต จักบรรลุพระอรหัตแต่อายุ ๗ ขวบ ใน ระหว่างเวลาที่เราระลึกถึงคน และได้บรรลุศาสน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 126
ธรรม เจตนาที่ไม่น่ารื่นรมย์ใจ เราไม่รู้จักเลย เราท่องเที่ยวไปเสวยสมบัติในภพน้อยภพใหญ่ ความบกพร่องในโภคทรัพย์ไม่มีแก่เราเลย นี้เป็น ผลในการสรรเสริญพระญาณ
ไฟ ๓ กองเราดับสนิทแล้ว เราถอนภพ ทั้งปวงขึ้นหมดแล้ว เราเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกอย่าง แล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
ในกัปที่สามหมื่น เราได้สรรเสริญ พระญาณใด ด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้ก็เป็นผลแห่งการสรรเสริญพระญาณ
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอน ของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระญาณถวิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบญาณถวิกเถราปทาน