[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 103
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
"เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า 'สังขาร ทั้งปวงไม่เที่ยง' เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด"
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
"เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า 'สังขาร ทั้งปวงเป็นทุกข์' เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด"
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
"เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า 'ธรรม ทั้งปวงเป็นอนัตตา' เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด"
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
อนึ่ง จักขุนั้น ชื่อว่า เป็นอนัตตา ด้วยอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ. อีกอย่างหนึ่ง ความที่จักขุนั้นเป็นไปในอำนาจของใครๆ ในฐานะ ๓ เหล่านี้คือ จักขุนี้เกิดขึ้นแล้วขอจงอย่าถึงการตั้งอยู่ ถึงการตั้งอยู่แล้ว จงอย่าแก่ ถึงการแก่แล้ว จงอย่าแตกดับ ดังนี้ หามีได้ไม่ เป็นของสูญ ไปจากอาการที่เป็นไปในอำนาจนั้น เพราะฉะนั้น จักขุนั้น จึงชื่อว่า เป็นอนัตตา เพราะเหตุ ๔ เหล่านั้น คือ
โดยความเป็นของสูญ ๑
โดยความไม่มีเจ้าของ ๑
โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ ๑
โดยปฏิเสธต่ออัตตา ๑
อ.ชุมพร: ได้ฟังท่านอาจารย์กล่าว ให้เห็นถึง ความละเอียดของหนทาง ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ด้วยความไม่รู้ กว่าจะได้ค่อยๆ ถากถาง ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง แล้วก็มีความไม่เข้าใจเยอะไปหมด
จะขอเรียนท่านอาจารย์ เมื่อกี๊ได้ฟังท่านอาจารย์สนทนากับ อ.วิชัย พูดถึง ความมั่นคงในความเป็นอนัตตา เข้าใจสิ่งนั้นจึงไม่ใช่เรา ขณะที่เจริญกุศลซึ่งไม่ว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือ ก็ได้ยินว่า ยังเป็นเรา ท่านอาจารย์หมายถึงปัญญาระดับที่รู้ความจริง คือสติปัฏฐาน หรือเปล่าค่ะ
ท่านอาจารย์: ถึงสติปัฏฐาน แต่สงสัยตั้งแต่ต้น เห็นไหม? ไปสงสัยถึงสติปัฏฐาน แต่ก็บอกว่า ตั้งแต่ต้นก็สงสัยล่ะ หรือไม่สงสัย
อ.ชุมพร: เพราะยังไม่เข้าใจ คำว่า เคยได้ยินว่า ไม่ใช่เราค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แค่จำ เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่จะเข้าใจความจริง ๔๕ พรรษา เริ่มจากชีวิตปกติธรรมดานี่แหละ ที่ยังไม่ได้ฟัง และเต็มไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังเผิน แต่ฟังคำที่คุณชุมพรกล่าว ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา หมายความว่า ต้องรู้ก่อน คำนี้ หมายความว่าอะไรเป็นอนัตตา?
อ.ชุมพร: เป็นสภาพที่มีจริงที่ไม่ใช่เราค่ะ
ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้ใครก็ไม่รู้อะไรจริง ที่ไม่ใช่เรา ใช่ไหม?
อ.ชุมพร: ต้องอนัตตา ขณะนี้ค่ะ
ท่านอาจารย์: อะไรสักหนึ่งซิ ที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย แต่ละหนึ่งเป็นอนัตตา ถ้าเราไม่พูดถึงแต่ละหนึ่ง จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
อ.ชุมพร: สี ค่ะ
ท่านอาจารย์: อยู่ไหน?
อ.ชุมพร: สี จะสามารถรู้ได้ก็ต้องมี ธาตุรู้ ไปรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ขณะนี้ มีเห็น ใช่ไหม?
อ.ชุมพร: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สี คืออะไร?
อ.ชุมพร: คือสิ่งที่ปรากฏให้ จิตเห็น เกิดขึ้นรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าพูดถึง เห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นถูกต้องไหม สิ่งที่ถูกเห็นนั่นแหละจะเรียกอะไรก็ได้ ถูกต้องไหม?
อ.ชุมพร: ค่ะ
ท่านอาจารย์: มีจริงๆ นั่นแหละ ความหมายของสิ่งที่เราใช้ คำว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือสีสันวรรณะต่างๆ เสียงไม่มีแน่ขณะที่เห็น เพราะ เห็น ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ จะเรียกคำว่าอะไรก็ได้ แต่สิ่งนั้นมีแน่นอน เป็นธรรม เพราะเหตุว่า เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาปรากฏ เห็นไหม โลกกว้างใหญ่มาก เหลือนิดเดียวใช่ไหม ลองคิด ทั้งโลกว่ามีทะเล มีภูเขา มีแม่น้ำ มีดาว มีพระอาทิตย์ มีประเทศต่างๆ ในโลก แต่โลกนั้นช่างใหญ่เหลือเกินใช่ไหม แต่รู้ความจริงที่ปรากฏ เล็กน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้น โลกจริงๆ ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่ใครคิดเลยทั้งสิ้น แสนสั้นแสนเล็กน้อยที่สุด แค่ปรากฏแล้วดับ นี่คือ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือใครคิดเองพูดเอง?
อ.ชุมพร: เป็น คำตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์: โลก ไม่ได้กว้างใหญ่ใช่ไหม?
อ.ชุมพร: ค่ะ
ท่านอาจารย์: โลกเล็กนิดเดียว
อ.ชุมพร: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของ ทุกคำ ที่พระองค์ตรัสว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นก็ใหญ่เสียแล้ว แถ้วแก้วใบหนึ่ง หรือไม่ จุดหนึ่ง ก็ใหญ่พอแล้ว แต่นี่ เพียงกระทบตา ปรากฏ แล้วดับ เห็นไหมความต่างกันของความไม่ไตร่ตรอง ไม่รู้เพื่อละ ว่า ความจริงที่ประจักษ์ได้ต้องเป็น ขณะนั้น ใช่ไหมที่ปรากฏ?
อ.ชุมพร: ค่ะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีอะไรปรากฏ จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ไหม?
อ.ชุมพร: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่สิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เริ่มรู้ว่าไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าตามความเป็นจริงก็เริ่มเข้าใจในความหมายว่า อนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ไม่ใช่โลกใหญ่กว้างมหาศาล เล็กนิดเดียว สั้นนิดเดียว กระทบแล้วก็ดับ
อ.ชุมพร: หมายความว่า เข้าใจสิ่งนั้น
ท่านอาจารย์: จึงได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ ความจริงอย่างนี้ ทรงแสดงอย่างนี้ ไม่ได้ทรงแสดงผิดไปจากนี้เลยว่า สิ่งที่กระทบตา กระทบแล้วปรากฏ แล้วดับ โลกกว้างใหญ่ไหม?
อ.ชุมพร: ท่านอาจารย์กล่าวก็เตือนสตินะคะ ใหญ่เสียแล้ว ปกติก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หมายความว่า ความเข้าใจในความละเอียดของสภาพธรรมนั้น จึงเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา ค่อยๆ แบบนี้ใช่ไหมคะท่านอาจารย์?
ท่านอาจารย์: แน่นอน เพราะว่าเป็นเรา แต่ถ้าไม่กระทบตาเป็นไหม? แล้วพูดไปถึงโลกทั้งโลกที่กว้างใหญ่ แต่ความจริงแค่เพียงกระทบตา ปรากฏไม่ใหญ่เลย สั้นมาก เล็กน้อยมาก แล้วดับเร็วมาก มิเช่นนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมว่า นี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง จนค่อยๆ เข้าใจตามลำดับในความเป็นอนัตตา
ขอเชิญฟังได้ที่ ...
อย่าฟังเผิน
อนัตตาไม่ใช่คำแปล
ความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ
ยินดีในกุศลจิตครับ