พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 212-214
๖. ชฏาสูตร
ว่าด้วยตัณหาพายุ่ง
[๖๔๔] สาวัตถีนีทาน. ครั้งนั้นแล ชฏาภารทวาชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ ครั้นแล้ว สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๖๔๕] ชฎาภารทวาชพราหมณ์ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ตัณหาหาพายุ่งในภายใน พายุ่งในภายนอกหมู่สัตว์ถูกตัณหาพายุ่งไขว่ให้นุง ข้าแต่พระโคดม เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า ใครพึงสางตัณหาพายุ่งนี้ได้.
[๖๔๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุใดเป็นคนมีปัญญา ตั้งมั่นอยู่ในศีล อบ-รมจิตและปัญญาให้เจริญ มีความเพียร มีปัญญารักษาตน ภิกษุนั้นพึงสางตัณหาพายุ่งนี้ได้ ราคะโทสะและอวิชชา อันชนเหล่าใด สำรอกแล้วชนเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้วตัณหาพายุ่งอันชนเหล่านั้นสางได้แล้ว นามและรูปย่อมดับไปไม่เหลือในที่ใด ปฏิฆสัญญา รูปสัญญา และตัณหาพายุ่งนั่น ย่อมขาดไปในที่นั้น.
[๖๔๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ชฏาภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ก็แหละท่านชฏาภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.
อรรถกถาชฏาสูตรในชฏาสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ชฏาภารทฺวาโช ได้แก่ พราหมณ์นั้นชื่อภารทวาชะ แต่เพราะเขาถามปัญหาที่ยุ่งๆ พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวอย่างนั้น. คำที่เหลือท่านกล่าวไว้แล้วในเทวตาสังยุตแล.
จบอรรถกถาชฏาสูตรที่ ๖
ขออนุโมทนาค่ะ