ขอเล่าก่อนเลยว่า หนูเป็นคนที่ขี้กลัวมาก กลัวไปซะทุกเรื่อง กลัวที่จะทำผิดพลาด กลัวการพูดคุยกับผู้คน กลัวโดนว่า นินทา กลัวล้มเหลว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามจะเกิดความกลัวขึ้นตลอดเลยค่ะ ทำไมถึงกลัวด้วยค่ะ ไม่เข้าใจทั้งๆ ที่มันอาจเป็นแค่เรื่องธรรมดาปกติทั่วไป คนอื่นๆ เขาไม่ได้กลัวมาก แต่ตัวหนูมันเกิดความกลัวมากเลยค่ะ พอเกิดความกลัวก็จะรู้สึกท้อแท้ตามมา ไม่กล้าที่จะทำอะไร จนตอนนี้เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดเลย ทำไมถึงเกิดความกลัว และควรจะทำอย่างไรดีค่ะให้ความกลัวน้อยลงหรือหายไป
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความกลัวเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดจากกิเลส คือ โทสะ ซึ่งเป็นธรรมดาของปุถุชน ที่ยังมากด้วยกิเลส ย่อมเกิดความกลัวได้เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ผู้ที่ไม่กลัวคือพระอนาคามี ครับ
ผู้ที่มีความกลัวมาก ก็เพราะสะสมความกลัวมามาก ดังเช่นในชาดก ที่มีลูกหมูที่เกิดความกลัวมาก กลัวไปทุกอย่าง เพราะเป็นผู้ที่สะสมความกลัวมามาก ดังนั้น ธรรมเหลือเกิน ที่จะมีคนที่มีความกลัวบ่อยๆ ตลอดเวลา ครับ ดังนั้น สำคัญคือ หนทางการละความกลัว
อย่างไรก็ดี การจะกำจัดความกลัว ให้ดีขึ้น ก็คือ อาศัยการฟังสิ่งที่ดี คือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อยๆ เพื่อให้คิดนึกในสิ่งที่ดี แทนสิ่งที่ไม่ดี แม้จะไม่สามารถบังคับให้ไม่เกิดความกลัวได้ ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมดา ยังไงก็ยังจะต้องเกิดความกลัว แต่ความกลัวเกิดขึ้นได้ เพราะ คิดนึกในเรื่องที่กลัว เพราะฉะนั้น ก็สะสมความคิดนึกใหม่คือ อ่านหรือฟังธรรม เพราะขณะที่อ่าน หรือ ฟัง ก็กำลังคิดนึกเรื่องราวใหม่ๆ อยู่ในขณะนั้น ก็สะสมความคิดนึกที่ดีใหม่ๆ ทำให้มีปัจจัยที่จะคิดนึกเรื่องธรรมมากขึ้น แม้จะยังไม่มากก็ตาม
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะ เกื้อกูลให้เห็นถูก แต่ไม่ใช่ยารักษาให้หายโรคกิเลสทันที เพราะสะสมกิเลสมามาก แต่ค่อยๆ บรรเทา และอยู่กับกิเลสด้วยความเข้าใจว่า ความกลัว เป็นอนัตตา บังคับให้เกิด หรือไม่เกิด ไม่ได้ แต่ควรเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราที่โกรธ และเห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม เพราะเห็นโทษของความกลัว เห็นโทษของกิเลสที่ทำให้ทุกข์ การไม่ทุกข์ เพราะปัญญาเกิด เพราะฉะนั้น ค่อยๆ สะสม ปัญญาไปทีละนิด โดยการสะสมความคิดนึกที่ถูกต้องด้วยการฟังพระธรรม แม้จะสลับกับความกลัวบ้าง แต่อย่างน้อยก็ได้สะสมความเห็นถูก จนในที่สุด ในอนาคตกาลย่อมดับกิเลส ดับความกลัวได้ในที่สุดครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือเป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ และสามารถเข้าใจได้ด้วยปัญญา ความกลัวก็เป็นธรรมที่มีจริง ในขณะที่เกิดความกลัวขึ้นนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพจิตที่เป็นอกุศล ประกอบด้วยโทสะ และความรู้สึกไม่สบายใจ ขณะที่เกิดความกลัว ย่อมไม่มีความสบายใจบ้างเลย ซึ่งเป็นธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังละโทสะไม่ได้ การที่จะดับความกลัวไม่ให้เกิดขึ้นอีกเลย ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่เป็นพระอนาคามี จึงจะไม่มีความกลัวเกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันขณะที่จิตเป็นกุศล ก็ไม่กลัวแล้ว เพราะขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วยอย่างแน่นอน เป็นธรรมคนละประเภทกัน ไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาด ค่อยๆ เจริญกุศลไปในชีวิตประจำวัน ก็จะบรรเทาความกลัวได้ ดังนั้น การที่จะกำจัดความกลัว ต้องด้วยกุศลทุกๆ ประการเท่านั้น แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้แต่ความกลัว ก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา และกุศลธรรม ที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ พระภิกษุรูปหนึ่งกลัวตาย พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องในอดีตของพระภิกษุรูปนี้เคยเกิดเป็นลูกหมูก็กลัวตายเหมือนกัน ภายหลังท่านได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งนอกจากพระธรรมและกุศล ค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ความกลัวจะละเด็ดขาดด้วยอนาคามีมรรคครับ
ด้วยความไม่รู้ เหมือนอยู่ในที่มืด เห็นเชือกเป็นงู เมื่อได้ฟังธรรมและเข้าใจแล้ว ความมืดจะหายไป ความสว่างเข้าแทนที่ เห็นชัดว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่งู เป็นเชือก และเข้าใจว่าสิ่งที่กลัว ไม่มีตัวตน เป็นธรรมะไม่ใช่เรา สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จึงอาจหาญร่าเริง เมื่อรู้ความจริงที่ว่าแล้วแต่กรรมที่ได้ทำมา อนุโมทนาทุกท่านที่อ่านจนจบ
แก่นของพระพุทธศาสนาคือ อนัตตา ที่ศาสนาอื่นไม่มี เป็นสัทธรรมก็รู้ว่าเป็นอัตตา เป็นทองเทียม ที่จะมาแทนที่ทองแท้ด้วยความไม่รู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป สาธุชนอย่าจำนน กับเงินทอง หรือผลประโยชน์ที่พวกไม่รู้จักละอายมาหยิบยื่นให้ พึ่งตัวเอง ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนที่เขาให้เพื่อหวังประโยชน์กับเรา ไม่จริงใจ เหมือนคนเป็นมะเร็ง แต่เอายาแก้ปวดมาให้กิน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เป็นเพราะกรรมที่เราได้ทำมาส่งผล และมั่นใจว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ต้องเข้าใจด้วยว่ากรรมจะส่งผลตามลำดับ ยุติธรรมและมั่นคง เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา ทุกคำที่พูดไปไม่ใช่พูดตาม พูดจากความเข้าใจ อธิบายได้ทุกคำ ควรพูดโดยอย่าบ่นเพ้อ ธรรมะ พูดแต่ชื่อ พูดตามโดยไม่รู้
ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา
เป็นกุศลวิบากส่งผลที่เป็นโรคกิเลส แต่ได้ท่านอาจารย์ที่เปรียบเสมือนผู้ใหญ่ใจดี ที่อ่านฉลากยาออก ได้คอยจัดยาคือพระธรรมให้กิน ทุกเสาร์ อาทิตย์ ไม่ขาดตลอดตั้งแต่ตัวเอง20 กว่าปีมาแล้ว ทำให้หายกลัวไม่หวั่นไหวเมื่อเช้าใจธรรมะ และรู้ความจริงจึงอาจหาญร่าเริงเหมือนที่ท่านได้บอกไว้ ทางแก้ทุกๆ อย่างทั้งเศรษฐกิจ สังคม และศาสนาจะได้ด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจเท่านั้น เป็นทางเดียวไม่มีทางอื่น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ก็ต้องฟังธรรมะไป พิจารณาไป จนมั่นคงในพระธรรม แล้วปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น แล้วก็ไม่หวั่นไหวต่อสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ว่า เป็นแต่เพียงรูปและนาม เกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วมาก ถึงยังไม่ประจักษ์ แต่ก็เชื่อในพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอนัตตา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้นะจ้ะ