[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 486
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑๑
๗. ธรรมสังวรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระธรรมสังวรเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 486
๗. ธรรมสังวรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระธรรมสังวรเถระ *
[๒๔๔] ได้ยินว่า พระธรรมสังวรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราได้พิจารณาแล้ว จึงออกบวชเป็นบรรพชิต เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว บำเพ็ญกิจในพระศาสนาเสร็จแล้ว.
อรรถกถาธรรมสวเถรคาถา
คาถาของท่านพระธรรมสวเถระ เริ่มต้นว่า ปพฺพชึ ตุลยิตฺวาน. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า พระเถระนี้เป็นพราหมณ์ นามว่า สุวัจฉะ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เรียนจบไตรเพท เห็น โทษในการอยู่ครองเรือน จึงบวชเป็นดาบส ให้สร้างอาศรมในซอกเขา ชายป่า อยู่ร่วมกับดาบสเป็นอันมาก.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะทรงปลูกพืชคือกุศลแก่เขา จึง (เสด็จไป) ประทับยืนอยู่บนอากาศ ใกล้อาศรม แล้วทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์. สุวัจฉดาบสเห็นอิทธิปาฎิหาริย์นั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ใคร่จะบูชา จึงเก็บเอาดอกสารภี (มาถวาย). พระศาสดาทรงพระดำริว่า พอแล้วสำหรับพืชคือกุศลมีประมาณเท่านี้ แห่งดาบสผู้นี้ ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
* อรรถกถาเรียกว่า พระธรรมสวเถระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 487
พระดาบสเก็บดอกไม้มาโรยทางที่พระบรมศาสดาเสด็จผ่านไป แล้วยังจิตให้เลื่อมใส ยืนประคองอัญชลีอยู่แล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นมคธ ในพุทธุปบาท กาลนี้ ได้นามว่า ธรรมสวะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว อันเหตุสมบัติตักเตือนอยู่ เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน และอานิสงส์ในบรรพชา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับอยู่ในทักขิณาคิรีชนบท ฟังธรรมแล้วได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา บรรพชาแล้วเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้วต่อกาลไม่นานนัก. สมดัง คาถาพยากรณ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเป็นพราหมณ์ นามว่า สุวัจฉะ เป็นผู้รู้เจนจบมนต์ แวดล้อมด้วยศิษย์ของตน อยู่ ณ ระหว่างภูเขา พระชินเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้สมควรรับเครื่องบูชา พระองค์ทรงประสงค์จะรื้อถอน (ช่วยเหลือ) เราจึงเสด็จมายังสำนักเรา เสด็จจงกรมอยู่บน เวหาส เหมือนประทีปอันโพลงฉะนั้น ทรงทราบว่า เรายินดีแล้ว บ่ายพระพักตร์กลับไปทางทิศประจิม ก็เราได้เห็นความอัศจรรย์อันไม่เคยมี น่าขนพองสยองเกล้านั้นแล้ว ได้เก็บเอาดอกสารภีไปโปรยลงที่ทางเสด็จผ่าน ในกัปที่แสน แต่ภัทรกัปนี้ เราโปรยดอกไม้ใด ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราไม่เข้าถึงทุคติเลย ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช มีพระนามว่า "มหารถะ"
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 488
สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จ แล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาข้อปฏิบัติของตน ถึงความโสมนัส ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถแห่งอุทานว่า
เราได้พิจารณาเห็นแล้ว จึงออกบวชเป็นบรรพชิต เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว บำเพ็ญกิจในพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชึ ตุลยิตฺวาน ความว่า พิจารณา คือสอดส่องซึ่งโทษในฆราวาส โดยนัยมีอาทิว่า การอยู่ครองเรือนคับแคบ เป็นทางแห่งละอองธุลี ดังนี้ ได้แก่พิจารณาโทษในกามทั้งหลาย โดยนัยมี อาทิว่า กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ดังนี้ และอานิสงส์ในการออกบวช โดยตรงข้ามกับโทษในกามนั้น ด้วยปัญญาอันเป็นดุจตราชั่ง.
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวในหนหลังแล้วทั้งนั้น. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตตผลของพระเถระ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาธรรมสวเถรคาถา