[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 684
๗. ปปัญจชยสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเนิ่นช้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 684
๗. ปปัญจชยสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเนิ่นช้า
[๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งพิจารณาการละส่วนสัญญาอันสหรคตด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าของพระองค์อยู่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการละส่วนสัญญาอันสหรคตด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าชองพระองค์แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดมีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ (ในสงสาร) ก้าวล่วงซึ่งที่ต่อคือตัณหาทิฏฐิ และลิ่มคืออวิชชาได้ แม้โลกคือหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่ดูหมิ่นผู้นั้น ผู้ไม่มีตัณหา เป็นมุนี เที่ยวไปอยู่.
จบปปัญจขยสูตรที่ ๗
อรรถกถาปปัญจขยสูตร
ปปัญจขยสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปปญฺจสญฺาสงฺขาปหานํ ความว่า กิเลสชื่อว่าธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เพราะเป็นที่เกิดขึ้นเอง ทำให้เนิ่นช้า คือ ขยายความสืบต่อนั้นให้กว้างขวาง ได้แก่ ให้ตั้งอยู่นาน โดยพิเศษ ได้แก่ ราคะ โทสะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 685
โมหะ ทิฏฐิ และมานะ. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า คือ ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมมีอรรถว่าเศร้าหมอง ชื่อว่าอรรถแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า ธรรมมีอรรถดุจหยากเหยื่อ ชื่อว่าอรรถแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า. ในธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านั้น สุภสัญญาเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือราคะ อาฆาตวัตถุเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือโทสะ อาสวะเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือโมหะ เวทนาเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา สัญญาเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ และวิตกเป็นเครื่องหมายของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือมานะ. สัญญาที่เกิดพร้อมกับธรรมเครื่องเนิ่นช้าเหล่านั้น ชื่อว่าปปัญจสัญญา. ส่วนภาคะ โกฏฐาสะ แห่งสัญญาเป็นเครื่องเนิ่นช้า ชื่อว่าส่วนแห่งสัญญาเป็นเครื่องเนิ่นช้า ว่าโดยอรรถ ได้แก่ กองกิเลส อันเป็นฝ่ายแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้านั้นๆ พร้อมทั้งนิมิต. ก็ในที่นี้ ศัพท์ว่า สัญญา ย่อมมีโดยปปัญจธรรมนั้น เป็นเหตุที่ทั่วไปแก่ส่วนนั้นๆ. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความจริง ส่วนแห่งปปัญจธรรม มีสัญญาเป็นเหตุ. การละซึ่งส่วนแห่งปปัญจธรรมเหล่านั้น. อธิบายว่า ตัดกิเลส มีราคะเป็นต้น ด้วยมรรคนั้นๆ ได้เด็ดขาด.
ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณากิเลส อันเป็นเหตุแห่งความพินาศในอดีตชาติของพระองค์อันนับได้หลายแสนโกฏิ ที่ทรงละได้พร้อมทั้งวาสนา ณ ประเทศเป็นที่ผ่องใสแห่งโพธิญาณ ด้วยอริยมรรคในภพสุดท้ายนี้ และทรงเห็นสันดานของสัตว์ที่เพียบไปด้วยกิเลส เศร้าหมองไปด้วยกิเลส มีราคะเป็นต้น ที่เปลื้องได้แสนยาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 686
เหมือนกะโหลกน้ำเต้าที่เต็มไปด้วยน้ำข้าว เหมือนภาชนะที่เต็มไปด้วยเปรียง และเหมือนท่อนผ้าเก่าที่ชุ่มด้วยน้ำมันเหลว จึงทรงเกิดปีติปราโมทย์ขึ้นว่า กิเลสวัฏฏ์นี้ ชื่อว่าเป็นรกชัฏอย่างนี้ ที่เกิดขึ้นตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ เราละได้แล้วโดยเด็ดขาด เราละแล้วด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ จึงทรงเปล่งอุทาน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการละส่วนแห่งสัญญาอันเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ปปญฺจา ธิติ จ นตฺถิ ความว่า เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงออกเฉพาะพระองค์ ให้เหมือนผู้อื่น ฉะนั้น อัครบุคคลใด ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้าซึ่งมีลักษณะดังกล่าวแล้ว และไม่มีความตั้งใจอยู่ในสงสารที่ปปัญจธรรมเหล่านั้นสร้างขึ้น. แต่ในเนตติท่านกล่าวไว้ว่า อนุสัย ชื่อว่าธิติ. จริงอยู่ อนุสัยก็เป็นมูลรากของการเกิดในภพ. บาลีว่า สตฺเต สํสาเร เปติ และว่า ปปญฺจฏฺิติ ดังนี้ก็มี. บาลีนั้นมีอธิบายดังนี้ ความตั้งอยู่ คือ ความที่ปปัญจธรรมยังปรากฏอยู่ ได้แก่ ยังตัดไม่ขาดด้วยมรรค ชื่อว่าปปัญจัฏฐิติ. อีกอย่างหนึ่ง ความตั้งอยู่แห่งวัฏฏะ โดยเป็นเหตุแห่งความเกิดขึ้นแห่งกุศล อกุศล และวิบากที่ยังเหลือ คือ ปปัญจธรรม ชื่อว่าปปัญจัฏฐิติ. ปปัญจัฏฐิตินั้น ไม่มีแก่อัครบุคคลใด.
บทว่า สนฺธานํ ปลิฆญฺจ วีติวตฺโต ความว่า บุคคลใดก้าวล่วงตัณหาและทิฏฐิอันได้นามว่าสันธานะ เพราะเป็นเสมือนที่ต่อ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องผูกพัน และก้าวล่วงอวิชชา กล่าวคือ ลิ่ม เพราะเป็นเหมือนลิ่ม เพราะกีดกันการเข้าไปสู่นครคือพระนิพพาน คือ ก้าวล่วงโดยพิเศษด้วยการละกิเลส พร้อมทั้งวาสนา. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 687
กล่าวความโกรธว่า สันธานะ. คำนั้นไม่ควรถือเอา. ก็ ธิติ นั้น ท่านเรียกว่า ทำเหตุให้บุคคลอื่นข้องอยู่แล.
บทว่า ตํ นิตฺตณฺหํ มุนึ จรนฺตํ ความว่า ซึ่งพระอริยบุคคลนั้น ชื่อว่าผู้ปราศจากตัณหา เพราะไม่มีตัณหาแม้โดยประการทั้งปวง ชื่อว่ามุนี เพราะรู้โลกทั้งสอง และรู้ประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ชื่อว่าผู้เที่ยวไปด้วยอิริยาบถ ๔ ด้วยการยังสมาบัติต่างๆ ให้เที่ยวไป และด้วยการยังญาณอันไม่ทั่วไปแก่ญาณอื่นให้เที่ยวไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง โดยส่วนเดียวนั่นเอง.
บทว่า นาวชานาติ สเทวโกปิ โลโก ความว่า สัตวโลกที่เกิดมาด้วยปัญญาของตน พร้อมทั้งเทวโลก พร้อมทั้งพรหม แม้ในกาลไหนๆ ก็ไม่รู้ ไม่ได้เสวย โดยที่แท้ กระทำให้หนักแน่น ยินดีในการบูชาสักการะโดยเคารพว่า ผู้นี้เท่านั้นเป็นผู้เลิศ ประเสริฐสูงสุด ประเสริฐยังในโลก ดังนี้แล.
จบอรรถกถาปปัญจขยสูตรที่ ๗