กราบเรียนถามตามหัวข้อค่ะ ด้วยได้ฟังการถ่ายทอดการแสดงพุทธวจนะ ว่าพระอรหันต์ยังเห็นผิดได้ จากการเล่าเรื่องประกอบว่า พระอรหันต์ ดิฉันจำนามของท่านไม่ได้นะคะการแสดงธรรมนั้นเล่าว่า ท่านไม่ไปลงอุโบสถด้วยคืดว่า.......แล้วถูกพระพุทธเจ้าทรงตำหนิค่ะ เช่นนี้เรียกว่า พระอรหันต์ยังเห็นผิดหรือค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่องอื่นก็ต้องเข้าใจ คำว่า ความเห็นผิด ให้ถูกต้องเสียก่อนครับ ก็จะเข้าใจประเด็นนี้
ความเห็นผิด คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นทิฏฐิเจตสิก ที่มีลักษณะ เห็นผิด คลาดเคลื่อน
จากความเป็นจริง ซึ่ง เห็นผิด ว่า กรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี เห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล
ตัวตน เห็นผิดว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นต้น ซึ่งความเห็นผิดเหล่านี้ มีได้ เพราะ ยัมีทิฏฐานุสัย
อันเป็นกิเลสที่เป็นความเห็นผิอยู่ แต่ การไม่รู้ว่าอะไร ควรไม่ควร โดยละเอียด ไม่ได้
หมายความว่าจะต้องเป็นความเห็นผิด เพราะ ผู้ที่รู้ว่าอะไรควร ไม่ควร โดยละเอียด
ทั้งหมด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ดังนั้น พระอรหันต์ดับความเห็นผิดหมดสิ้นแล้ว เพราะ ความเห็นผิด ดับได้หมดสิ้นตั้งแต่
เป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคล ไม่มีความเห็นผิดเลย ในเรือ่ง ว่า กรรมไม่มี
ผลของกรรมไม่มี ไม่เห็นผิดว่า มีสัตว์ บุคคลจริง เพราะ รู้ว่าเป็นธรรม เป็นต้น แต่ พระ
อริยบุคคล ก็ยังไม่ได้รู้ในรายละเอียดทั้งหมด ในความควร ไม่ควร โดยเฉพาะ ในข้อ
บัญญัติพระวินัย เพราะ ผู้ที่จะรู้ว่าอะไร ควร ไม่ควร โดยเฉพาะการประพฤติในพระวินัย
ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น พระอรหันต์ ก็ยังไม่ได้รู้ว่าอะไร ควร ไม่ควรทั้งหมด
ท่านจึงมีโอกาสล่วงอาบัติ ผิดพระวินัยได้ โดยไม่ได้มีเจตนาล่วงพระวินัย หรือ ทำในสิ่ง
ที่ไม่ควร แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ไม่ควรนั้น จะต้องเป็นอกุศล เพราะ ท่านไม่มีอกุศล
จิตเกิดอีกเลย ไม่ได้ทำด้วยความเห็นผิดแต่ทำด้วยกิริยาจิต แต่การกระทำนั้น ย่อมไม่
สมควร บางประการได้ ในความละเอียดของธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทราบ และ ทรงรู้ ครับ
พระอรหันต์ จึงทำผิดพระวินัยบัญญัติ หรือ ทำในสิ่งที่ไม่ควรได้ แต่ ไม่ได้มีเจตนาโดย
ต้องการล่วงอาบัติ และ ไม่มีเจตนาที่เป็นไปในทางอกุศล หรือ ความเห็นผิดเลย ตามที่
กล่าวมา ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลยไม่ว่าจะเป็นกิเลสใดๆ ก็ตาม ไม่เกิดอีกเลย แต่ปัญญาของพระอรหันตสาวก กับ พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเทียบกันไม่ได้ ความละเอียดของปัญญา ในการพิจารณาไตร่ตรองสำหรับพระอรหันตสาวกแล้ว ย่อมไม่เท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากประเด็นคำถามนั้น พระมหากัปปินะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสหมดแล้ว เกิดความคิดว่า เราควรทำอุโบสถหรือไม่ [ซึ่งอุโบสถในที่นี้มุ่งหมายถึงสังฆกรรมอย่างหนึ่ง เป็นการยกสิกขาบทมาแสดงทุกกึ่งเดือนเพื่อประโยชน์ในทบทวนตรวจสอบตนเองว่าได้มีการประพฤติล่วงสิกขาบทต่างๆ หรือไม่] เพราะเราหมดจดจากกิเลสแล้ว จึงคิดที่จะไม่ไปทำอุโบสถ
ไม่ไปทำสังฆกรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จมาเกื้อกูล เพื่อประโยชน์ในการที่จะเป็นแบบอย่างให้กับพระภิกษุรุ่นหลังที่จะได้มีความเคารพ ยำเกรง นอบน้อมต่ออุโบสถ เช่นเดียวกันกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ครับ ซึ่งการคิดที่จะไม่ไปทำอุโบสถของท่านพระมหา
กัปปินะ ไม่ได้เป็นเพราะความเห็นผิด ไม่ได้เป็นไปกับด้วยอกุศล และ ไม่ได้เป็นไปกับ
ด้วยกุศลด้วย แต่เป็นไปด้วยจิตที่เป็นมหากิริยา เพราะพระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว ที่ทำให้
เกิดความคิดเช่นนั้น เพราะปัญญาในการพิจารณาความละเอียด ไม่เหมือนกับพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
พระมหากัปปินะ คิดที่จะไม่กระทำอุโบสถ [พระวินัยปิฎก มหาวรรค]
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
แค่บรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็ดับความเห็นผืดหมดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงพระอรหันต์ ค่ะ
กราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยความเคารพเป้นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ