กราบเรียนถาม ท่านผู้มีเมตตาครับว่า
ผมเชื่อในเรื่องบาปและบุญ และผลของกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ของมนุษย์เรา จากที่ตามอ่านๆ ในกระทู้สนทนาธรรมนี้ พบว่า เหตุการณ์ชีวิตความเป็นอยู่ของปัจจุบันเรานี้ มันเป็นผลมาจากผลของ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ด้วยกันทั้งสิ้น และหากปัจจุบันเราทำสิ่งใดไว้ คิดดีก็ดี คิดชั่วก็ดี ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ดี มันจะสามารถติดตามเราไปเป็นผลของ กรรม ได้ในอนาคต (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ภพนี้ก็ได้)
ซึ่งผมเชื่อตามนี้ทั้งหมด แต่ผมก็พยายามคิดต่อว่า หากเป็นจริงเช่นนั้นแล้ว แสดงว่าจะต้องมี สิ่งหรือใครสักคนหนึ่ง เป็นศูนย์กลางสามารถควบคุม ชีวิต หรือ สังเกตการณ์ ชีวิต ทุกชีวิตบนโลก แล้วมีวิธีการบันทึกอย่างไร ถึงสามารถเก็บข้อมูลการกระทำ หรือแม้แต่ ความคิด (จิตอธิษฐาน) ของมนุษย์ ได้ละเอียดเช่นนั้น
คือสามารถรับรู้ทุกการกระทำ และจิต ของมนุษย์ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน และสามารถกำหนดผลของ การกระทำ และจิตของมนุษย์ ให้เป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำ หรือได้คิดไว้ อันนี้แหล่ะครับที่ผมยังไม่กระจ่างตามหลักเหตุแลผลครับ ขอกราบขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับผม (^/^)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒๖ - หน้าที่ ๕๒๙
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สังสาระ (สังสารวัฏฏ์) นี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ... สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะว่าสังสาระนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียว เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค มาตุสูตร)
การเกิดในแต่ละภพในแต่ละชาิติ ย่อมไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรมคือ จิต เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลาเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ชีวิตประจำวันที่ดำเินินไปอยู่นี้ เป็นธรรมทั้งหมดซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะชาิตินี้ชาิติเดียวที่เป็นอย่างนี้ แต่เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ คำว่า สังสารวัฏฏ์ ในอรรถกถาท่านได้แก้ไว้ว่า "ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และ อายตนะยังเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ชื่อว่า สังสาระ" หรือจะหมายถึง การท่องเที่ยวไปก็ได้ กล่าวคือ ท่องเที่ยวไปจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง หรือแม้กระทั่งจากจิตขณะหนึ่งไปสู่จิตอีกขณะหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าเป็นสังสาระเช่นเดียวกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ นามธรรมและรูปธรรม เลย บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มาก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ต้องเน้นว่านับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ทั้งคนมั่งมี ยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนานหาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครควบคุมสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เลย และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดอย่างเด็ดขาดขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ที่จุติจิตเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้แล้วดับไปปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีเกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิดขึ้นเป็นไป สืบเนื่องต่อไปเป็นสังสารวัฏฏ์ที่ยืดยาวต่อไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีกเลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ได้ส่งไลน์ไปให้เพื่อนอ่านแล้วค่ะ เขาน่าจะสนใจ กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ ส่วนมากไม่ค่อยได้เข้ามาในนี้ จะฟังธรรมออนไลน์เสียเป็นส่วนมาก ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ