ตามความเป็นจริงพระพุทธองค์แสดงว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา
ถ้ารู้ตามความจริงอย่างนั้นด้วยปัญญาย่อมละกิเลสได้ สูงสุด คือพระอรหันต์ ท่านไม่ยึดติดอะไรอีกเลย ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้น ไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกแล้ว อยู่เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก สำหรับเราที่ยังเป็นปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ด้วยความยึดถือมากมาย ยังไม่ได้รู้จริงๆ ด้วยปัญญาว่า ไม่มีเรา ก็ต้องเป็นไปตามวิถีชีวิตของปุถุชนตามชาวโลก เพื่อสะสมปัญญาบารมีเพื่อการรู้ความจริง แล้วไม่ต้องกลับมายึดถืออีกต่อไป สรุปคือ ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้เพราะยังไม่ได้รู้จริงๆ ด้วยปัญญา รู้แต่เพียงชื่อหรือคำเท่านั้น
การที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เกิดขึ้นมาทันทีชัดเจน แต่ต้องค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เราทีละเล็ก ทีละน้อยซึ่งเป็นขั้นที่สติเริ่มเกิดระลึกสภาพธัมมะนั่นเอง เมื่อสติเและปัญญาเพิ่งเริ่มเกิดระลึกสภาพธัมมะ ก็จะเพิ่งเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อสติเกิดบ่อยขึ้น จนเป็นปกติ ชำนาญ ปัญญาก็จะถึงขั้นประจักษ์ ในนามธรรม รูปธรรม เป็นวิปัสสนาญาณ แต่ก็ยังไม่สามารถดับกิเลสที่ยึดถือว่าเป็นเรา จนกว่าจะเป็นพระ-โสดาบัน ดังนั้น ความเป็นเรานั้นก็ยังมี แม้สติเกิดแล้วก็ตาม จนกว่าจะเป็นพระโสดา-บัน ที่สำคัญการเริ่มต้นที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ว่าเราศึกษาธัมมะเพื่ออะไร ธัมมะอยู่ในไหน ในหนังสือ หรือขณะ เมื่อเข้าใจเบื้องต้นจนเป็นความมั่นคง (สัจญาณ) ว่า การจะรู้ธัมมะก็รู้ในขณะนี้แหละ โดยเป็นหน้าที่ของธัมมะ (สติ) ที่ทำหน้าที่ ไม่ใช่เราไประลึกเมื่อเข้าใจขั้นต้นถูก ก็สามารถไปถึงการปฏิบัติที่ชอบ รู้ชอบ พ้นชอบ ครับ
ความรวดเร็วของการเกิดดับของสภาพธรรม
เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ความจริงไม่ปรากฏ
และเกิดการยึดถือสภาพธรรมว่า
เป็นตัวตน มีเรา มีเขา มีสัตว์ สิ่งของ เป็นก้อน เป็นแท่ง
และเรื่องราวในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นความคิดทั้งหมดของสภาพธรรม
คือจิตคิดที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่ให้รู้ความจริงว่า ทั้งหมดเป็นธรรมะ ไม่ใช่เราคิด เราทำ
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการศึกษาธรรม
เพื่อความเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา
นั้นคือการที่ไม่ต้องไปพยายามที่จะเอาความเป็นเราออกไป
ซึ่งไม่ใช่หนทางและทำให้เกิดความกังวลทุกข์ร้อน
ซึ่งขณะนั้นก็เป็น กิเลส เป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้น ด้วยตัวตนที่จะเอา ความเป็นเราออกไป
เป็นกิเลสเป็นความต้องการที่จะหมดความมีตัวตนเร็วๆ ไวๆ
แนวทางที่ถูกคือ ฟังให้เกิดความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
สะสมความเห็นถูก มากขึ้นๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง เหตุปัจจัย ที่ถูกต้อง เป็นเหตุใหม่ที่มั่นคงในความเห็นถูกว่า ไม่มีเรา มั่นคงขึ้น จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งในสัจจธรรม ความไม่มีเรา ได้
อนุโมทนาค่ะ
ความจริงไม่ปรากฏว่าเป็นธรรม เพราะสติและปัญญาไม่รู้ในลักษณะของสภาพธัมมะนั้นสภาพธัมมะเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คือ เกิดดับอย่างรวดเร็ วและเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม แต่ปัญญาต่างหากที่ยังไม่ถึงระดับในการที่จะไปรู้ลักษณะของสภาพธัมมะที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว
แต่ก่อนที่จะรู้การเกิดดับ ก็ต้องรู้ชัดในรูปและนามที่ปรากฎจนทั่วจนชินทั้ง ๖ ทวารนะคะ ความรู้ (ญาณ) ขั้นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะประจักษ์กันได้ง่ายๆ เลย ต้องอบรมสะสมปัญญาขั้นการฟังและขั้นการพิจารณามามาก มิฉะนั้น สติปัฏฐานไม่เกิดหรอกค่ะ เมื่อสติ-ปัฏฐานไม่เกิด การระลึกในแต่ละครั้ง ก็เป็นแค่การคิดนึกเรื่องราวของธรรมเท่านั้นพระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก จึงไม่ควรประมาทว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว เพราะตราบใดที่ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์ การฟัง การศึกษาและการพิจารณาพระธรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ