จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในเบื้องต้นทราบจากการศึกษาจากการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ว่าจิตมีหลายประเภทแต่ละประเภทเกิดขึ้นที่ละขณะไม่พร้อมกัน เมื่อผู้ศึกษาอบรมเจริญปัญญาประจักษ์แจ้งในลักษณะของจิตตามความเป็นจริง ย่อมรู้แจ้งในความเกิดดับทีละขณะของจิต
จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ รู้ได้โดยการศึกษา เช่น จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคจิตคั่นแล้วจิตได้ยินจึงจะเกิดได้ ฯลฯ นี้เป็นจิตนิยามเป็นธรรมดาของจิตที่ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นอนัตตา ที่จะรู้จิตเกิดขึ้นที่ละ ๑ ขณะ รู้ได้ด้วยปัญญาที่อบรมแล้ว
ต้องรู้ด้วยปัญญาระดับสูง แต่แม้ขั้นความเข้าใจก็พอจะเทียบเคียงได้ เห็นหลอดไฟไหม รู้ไหมว่ามันเกิดดับทีละขณะ ก็เห็นว่ามันก็สว่างตลอดไม่เห็นดับไปดับมาเลย เพราะอะไร ก็เพราะความรวดเร็วของการกระพริบของหลอดไฟ ฉันใด แม้ขณะนี้ก็เห็นว่าสภาพธัมมะไม่เห็นจะเกิดดับเลยก็เห็นอยู่ แถมเห็นกับได้ยินเหมือนจะพร้อมกันเลย เพราะอะไร ก็เพราะสภาพธัมมะคือ จิตเกิดดับเร็วมากสุดประมาณ จะรู้ได้ด้วย ก็ด้วยปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่การคิดนึก เรารู้ว่ากรุงปารีส มีหอไอเฟล รู้จากข่าว จากได้ยินมาหรือไปเห็นกับตาตัวเองที่ปารีส ดังนั้นการจะรู้สภาพะธัมมะที่เกิดดับทีละขณะก็ต้องด้วยปัญญาระดับวิปัสสนาญาณ แต่พอจะเทียบเคียงได้ คุณลองอ่านคำว่าคอมพิวเตอร์ ดูครับ เป็นไง คุณนึกถึงคำว่า คอม ก่อนใชไหม ถึงจะนึกคำว่า พิว ต่อ และนึกถึงคำว่า เตอร์สุดท้าย สภาพธัมมะที่คิดนึก ก็เป็นจิตชนิดหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น จิตจึงเกิดทีละขณะ ขณะที่จิตนึกถึง คอม ก็ขณะหนึ่ง ขณะที่จิตคิดถึงคำว่า พิว ขณะหนึ่งและคำว่า เตอร์ ขณะนึง ดังนั้นจิตจึงเกิดดับทีละขณะครับ นี่จากการเทียบเคียงเรื่องราวแต่ตามความเป็นจริงอย่างที่บอก ต้องเป็นปัญญาระดับสูงขั้นวิปัสสนาญาณครับ
ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ยินดีในกุศลจิตค่ะ