เรียนถาม
เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา หลังจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อทันที อยากทราบว่าเมื่อยังอยู่ในครรภ์มารดา ก็จะมีแต่ภวังคจิตเท่านั้น. วิถีจิตยังไม่เกิดเพราะไม่มีอารมณ์กระทบทวาร หรือ อย่างไรคะ ขอความกรุณาอธิบายด้วยค่ะ
ขอบพระคุณอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การศึกษาพระธรรม ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และประการที่สำคัญ จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ แม้จะกล่าวถึง ภวังคจิต ก็ดี วิถีจิตก็ดี ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาจะไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย
ทุกขณะของชีวิต ก็คือ การเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ เป็นไปอย่างไม่ขาดสาย จิต เมื่อจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ แล้ว มี ๒ ประเภท คือ จิตที่เป็นวิถีจิตกับ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต ซึ่งก็ต้องกล่าวถึงความหมายของจิต ๒ ประเภทนี้ เป็นเบื้องต้นก่อนว่าวิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร (ตา หู จมูกลิ้น กาย และใจ) ในการรู้แจ้งอารมณ์ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวารเลย จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต มี ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต ภวังคจิต คือจิตที่ทำกิจสืบต่อดำรงภพชาติ ทำให้สภาพที่บัญญัติว่า สัตว์ มีชีวิตอยู่ได้ ภวังคจิตเป็นวิบากจิต เป็นจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิต จุติจิต ภวังคจิต คือจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้จนกว่าจะจุติ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ก็มีรูปที่เกิดจากกรรม คือ หทยรูป และ กายปสาทรูป ที่เป็นที่เกิดของจิตประเภทต่างๆ และ รวมทั้งจิตที่เป็นกายวิญญาณจิตได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม และ เวลาต่อมา รูปที่เกิดจากกรรม ก็เกิดขึ้นอีก เช่น จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป และชิวหาปสาทรูป เพราะฉะนั้น เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีแต่ภวังคจิต ที่เกิดกับที่เกิด คือ หทยรูปเท่านั้น แต่ก็สามารถเกิดกายวิญญาณจิตได้เพราะมีกายปสาทรูปเกิดแล้ว ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะกายปสาทรูป เป็นที่เกิดของจิตที่กระทบสัมผัส ย่อมสามารถเกิด วิถีจิตทางปัญจทวาร ทางกายได้ ครับ และ ก็สามารถเกิดความคิดนึกทางใจได้ ที่ไม่ใช่ ภวังคจิต ครับ เพราะมี หทยรูปที่เป็นที่เกิดของจิตประเภทต่างๆ รวมทั้งวิถีจิตทางมโนทวาร ทางใจได้ ซึ่งขณะนั้นไม่เป็นภวังคจิตครับและ ต่อมา เมื่อรูปอื่นๆ ที่เป็น ปสาทรูปอื่นๆ เกิด ก็เกิดวิถีจิตทางปัญจทวารทางตา หูจมูก ลิ้น ได้ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ก็ต้องอาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกส่วนของพระธรรมคำสอนที่ได้ยินได้ฟัง แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ
กว่าจะมาเกิดในภพนี้ชาตินี้เป็นมนุษย์ในสุคติภูมินั้น ก็เกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะเหตุว่าสังสารวัฏฏ์ยาวนานมาก ซึ่งก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมอย่างไม่ขาดสายนั่นเอง
จิต เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จิตขณะแรกในชาตินี้คือ ปฏิสนธิจิต จิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต คือ ภวังคจิต ชวนวิถีจิตแรกที่เกิดในทุกภพภูมิเป็นโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เพราะเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายย่อมมีความยินดีภพ คือ ความมีความเป็นบุคคลนั้นๆ และขณะที่เป็นโลภมูลจิตเกิดนั้น ไม่ใช่ภวังคจิต และก่อนที่ชวนจิตจะเกิด ก็ต้องมีวิถีจิตที่เกิดก่อนชวนจิต ซึ่งวิถีจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้นก็ไม่ใช่ภวังคจิต ภวังคจิต ไม่ใช่วิถีจิต ถ้ากล่าวถึงวิถีจิตแล้ว ก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดย อาศัยทวารหนึ่งทวารใด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอเรียนถามเพิ่มเติมค่ะว่า จิตที่ทำปฏิสนธิกิจที่เป็นกามาวจรวิบากจิต 10 มีอะไรบ้างคะ เป็นกุศลวิบากและอกุศลวิบากจิต หรือไม่คะ
ขอบพระคุณอย่างสูง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๕ ครับ
จากคำถามที่ว่า จิตที่ทำปฏิสนธิกิจที่เป็นกามาวจรวิบากจิต 10 มีอะไรบ้าง?
ได้แก่ มหาวิบาก ๘ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก และ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก กล่าวคือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ๑ ดวง ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิและ อุเบกขาสันตีรณะ ๑ ดวง ทำกิจปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ ที่เป็นมนุษย์ (พิการ บ้าใบ้ บอดหนวก ตั้งแต่กำเนิด) หรือสวรรค์ชั้นต้น คือจาตุมหาราชิกา และมหาวิบากจิต ๘ ดวง ทำกิจปฏิสนธิในภูมิมนุษย์และในสวรรค์ ๖ ชั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนถามความคิดเห็นที่ 7
มหาวิบากจิต 8 ดวงทำกิจปฏิสนธิเพียงอย่างเดียว ไม่ทำกิจอื่นๆ และเป็นจิตที่มีเหตุที่ดีร่วมด้วย ส่วนจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตกระทบสัมผัส ที่ประสบอยู่ทุกวันเป็นจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย มีกิจรู้อารมณ์ตามทวารต่างๆ จนถึงสันตีรณจิตที่ทำกิจพิจารณาอารมณ์ที่รับต่อจากสัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิตดวงนี้ ทั้งที่เป็นกุศลวิบากและเป็นอกุศลวิบาก ทำกิจปฏิสนธิด้วย ดิฉันเข้าใจถูกต้องหรือไม่คะ
ขอบพระคุณอย่างสูง
เรียนความคิดเห็นที่ ๘ ครับ
มหาวิบาก ไม่ได้ทำเฉพาะปฏิสนธิกิจอย่างเดียว ยังทำกิจภวังค์ ทำกิจจุติ และทำตทาลัมพณกิจ ด้วย ครับ
สำหรับ สันตีรณจิต นั้น มี ๓ ประเภท เป็นอกุศลวิบาก ๑ และ เป็น กุศลวิบาก ๒ คือ
อุเบกขาสันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง
อุเบกขาสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง
โสมนัสสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว จิตบางดวง ทำกิจได้หลายกิจ
สำหรับสันตีรณจิตมี ๓ ดวง แต่ทำได้ ๕ กิจ ซึ่งจะต้องแยกประเภทกัน เพราะเหตุว่าสำหรับอุเบกขาสันตีรณจิตเท่านั้น ที่ทำได้ถึง ๕ กิจ
สำหรับอุเบกขาสันตีรณจิตที่ทำได้ ๕ กิจ คือ ทำปฏิสนธิกิจได้ ๑ ทำภวังคกิจได้ ๑ ทำจุติกิจได้ ๑ ทำสันตีรณกิจได้ ๑ ทำตทาลัมพนกิจได้ ๑
สันตีรณจิตดวงที่ ๑ และดวงที่ ๒ (อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากและอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก) เท่านั้น ที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติได้ สันตีรณจิตทั้ง ๓ ประเภททำกิจพิจารณาอารมณ์ (สันตีรณกิจ) ได้ ส่วนโสมนัสสันตีรณจิตกระทำสันตีรณกิจเมื่ออารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่น่ายินดียิ่ง ครับ
ขออนุโมทนาครับ
เรียนถามความเห็นที่ 9
1) จิตดวงใดที่ทำปฏิสนธิกิจ จิตดวงนั้นๆ ก็ต้องทำภวังคกิจและจุติกิจด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิด้วยจิตดวงใดดวงหนึ่งในมหาวิบาก 8 ก็เป็นจิตดวงนั้นที่ทำภวังคกิจไปจนตลอดชีวิตจนถึงจิตสุดท้ายคือจุติจิตก็เป็นจิตดวงเดิมที่ทำจุติกิจ เมื่อจุติจิตดับไปแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อทันที แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าจิตประเภทไหนที่นำเกิด ถ้าเป็นมนุษย์ที่พิการ บ้าใบ้บอดหนวก ก็พอจะทราบว่าเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิตที่ทำกิจให้เกิดเป็นคนพิการ. ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิตที่นำเกิด เป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ
2) ตฑาลัมพนจิต รู้อารมณ์ต่อจากชวนจิต ชวนจิตเป็นชาติกุศล อกุศล ตฑาลัมพนจิต เป็นวิบากจิตใช่หรือไม่คะ.ดิฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่า มหาวิบาก 8 และสันตีรณจิต 2 ดวง นั้นทำตฑาลัมพนกิจอย่างไร
3) โสมนัสสันตีรณจิตเกิดกับผู้ใดคะ
ขอบพระคุณอย่างสูง
1. จิตใดทำปฏิสนธิกิจ จิตนั้นก็ทำภวังคกิจ และจุติกิจในชาตินั้นด้วย จุติของชาติที่แล้วกับปฏิสนธิจิตในชาตินี้เป็นคนละชาติกัน ส่วนกรรมใดนำเกิดแล้วแต่เหตุปัจจัยค่ะ
2. ตทาลัมพนจิตเป็นวิบากจิต แต่ไม่ใช่วิบากที่เป็นผลของชวนะในวิถีเดียวกัน
3. โสมนัสสันตีรณจิตเกิดได้กับคนทั่ว ๆ ไป เป็นจิตที่เกิดกับโสมนัสที่รับอารมณ์ที่น่ายินดียิ่ง ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอน้อมอนุโมทนา ..ค่ะ,