4 วัน 3 คืน ที่มายโจ
การสนทนาธรรมช่วงแรกเป็นภาษาเวียดนาม แปลเป็นอังกฤษ (และไทยบ้าง สำหรับบางคนที่สนใจอยากฟัง) เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 60 - 28 ส.ค. 60 ทั้งเช้า ตั้งแต่ 09.00 - 11.00 น. และภาคบ่าย ตั้งแต่ 15.00 - 17.00 น. ก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ขอเล่าให้ฟังย่อๆ ก็แล้วกันค่ะ
มีคนเวียดนามร่วมเข้าฟังกว่าร้อยคน มีทั้งคนเก่าและใหม่ มีพระภิกษุ 2 รูปเดิม แม่ชี 3 - 4 คน ผู้จัดบอกว่า แม่ชีหลายคนมีศรัทธามากขึ้น จึงฟังถ่ายทอดสดที่บ้าน โดยเฉพาะแม่ชีสาลี่ที่พูดไทยได้ ก็ไม่ได้มาในครั้งนี้ เธออยู่ที่ไซ่ง่อน มาฮานอยต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ภิกษุณีบางรูปที่ได้ฟังธรรมที่ฮอยอานแล้วเข้าใจว่า ปัจจุบันนี้ไม่มีภิกษุณีแล้ว ก็ลาสึกออกไป แต่มีผู้ฟังสาวคนหนึ่งได้ฟังแล้วก็แต่งตัวเหมือนภิกษุณี โกนผม ห่มผ้าแบบพระ แต่ไม่โกนคิ้ว มาสอบถามปัญหาแสดงภูมิเหมือนได้บรรลุธรรมแล้ว หลากหลายอัธยาศัยตามการสะสมมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ทำให้เป็นแต่ละหนึ่งที่ไม่เหมือนกันเลย ทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย โดยเฉพาะความเข้าใจธรรม
เนื่องจากมีผู้ฟังใหม่มากกว่าครึ่ง ท่านอาจารย์จึงทบทวนตั้งแต่ต้น บางครั้งก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดเป็นภาษาไทยได้ทันที แต่ก็คิดขึ้นได้ว่า. ท่านอาจารย์แสดงธรรมตามความเป็นจริง ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ดีแล้ว ธรรมจึงไม่เปลี่ยน จะพูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เราได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งอ่านทั้งพิมพ์ และมีโอกาสได้พิสูจน์อักษรหนังสือธรรมภาษาอังกฤษของคุณนีน่าหลายเล่ม จึงพอรู้ศัพท์ธรรมภาษาอังกฤษบ้าง พอจะแปลให้คนที่สนใจฟังได้ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด มีบางตอนที่ไม่เข้าใจก็แปลข้ามไป แต่จะไม่พยายามแปลถ้าไม่เข้าใจ แม้จะพูดตามเรื่องจิต เจตสิก รูปได้คล่องปาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม จึงเห็นความยากและลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ถ้าไม่ทรงแสดงไว้ก็ไม่มีโอกาสแม้ได้ยินได้ฟังเลย ก็จะมืดบอดด้วยอวิชชา หลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะตลอดไป หลงจริงๆ คือหลงอยู่ก็ไม่รู้ว่ากำลังหลง
ผู้ฟังส่วนใหญ่เรียนอภิธรรมมาบ้างแล้ว ก็จะถามปัญหาลึกๆ เช่น ภวังคจิตประกอบด้วยเจตสิกอะไรบ้าง หรือปฏิจจสมุปปบาท เป็นต้น ซึ่งไม่เกื้อกูลต่อผู้ฟังใหม่ๆ เลย ท่านอาจารย์ก็จะเตือนให้พูดถึงสิ่งที่สามารถรู้ได้ สามารถพิสูจน์ได้ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และให้ผู้ฟังคิดว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้คืออะไร คำตอบก็ไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ฟังแล้วรู้หรือยังว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เพราะเกิดแล้วดับทันที จะหาความเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้จากที่ไหน ส่วนใหญ่เป็นความเข้าใจหรือปัญญาขั้นฟัง แม้แต่ขั้นฟังก็ไม่ทั่ว ยังไม่มั่นคงในความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา เมื่อถามว่า เห็นอะไร ก็จะตอบว่า เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ ยังไม่ใช่เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ถ้าถามว่า ใครเห็น ก็จะตอบว่า เราเห็น เห็นยังไม่เป็นเห็น เป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเห็น เพียงเห็นแล้วก็ดับทันที ไม่กลับมาอีก เห็นของใคร ไม่ว่าของคน ของนก ก็เหมือนกัน คือรู้โดยอาศัยตาเท่านั้นเอง ถ้าหลับตา ก็ไม่รู้ทางตา คือไม่เห็นนั่นเอง ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็เช่นเดียวกัน
คำถามส่วนใหญ่ก็จากความไม่เข้าใจธรรมตั้งแต่ต้นที่ทรงแสดงไว้ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" สิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครสามารถทำได้ เพราะเกิดแล้วจึงปรากฏให้รู้ แล้วดับทันที ไม่ทันจะทำหรือจะเปลี่ยนอะไรก็ดับแล้ว จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ สั้นแสนสั้น แต่ด้วยความไม่รู้และติดข้องจึงถามถึงวิธีบรรลุธรรมโดยเร็ว แล้วยกตัวอย่างท่านพระสารีบุตรที่เพียงฟังธรรมสั้นๆ ก็สามารถเข้าใจได้ ท่านอาจารย์ก็เตือนให้เห็นการสะสมบารมี โดยเฉพาะปัญญาที่ต่างกัน
ท่านอาจารย์สรุปว่า ถ้ายังไม่รู้ปริยัติอย่างทั่วถึง สติปัฏฐานก็ไม่สามารถเกิดได้ ความรู้ขั้นปริยัติไม่ใช่เพียงรู้เรื่องราวของสภาพธรรม แต่ต้องรู้ว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เกิดแล้วดับทันที รู้อย่างนี้จนจรดเยื่อในกระดูก ไม่หวั่นไหว เป็นสัจญาณ ทำกิจให้กิจญาณเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที ถ้ายังไม่มั่นคงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม เมื่อสภาพธรรมที่น่าพอใจปรากฏก็จะเพลิดเพลินไปด้วยความคิดด้วยความเป็นเรา หรือถ้าสภาพธรรมที่ไม่พอใจปรากฏก็จะขุ่นเคืองด้วยความเป็นเรา เหมือนว่ายอยู่ในมหาสมุทร ไม่ได้ขึ้นเกาะ คือ สติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเสียที
ต้องฟังแล้วอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนกว่าจะเข้าใจขึ้นๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย เท่านั้นเอง แล้วความเข้าใจจะทำกิจของความเข้าใจเอง ไม่ใช่เราหรือใครจะทำให้ได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ทางเดินที่ถูกให้ ท่านอาจารย์ได้ศึกษาและเข้าใจตามที่ทรงแสดงแล้ว นำความเข้าใจนั้นมาพร่ำสอนด้วยเมตตาจิต ไม่ท้อถอยแม้จะอายุถึง 91 ปีแล้วก็ตาม
ขอกราบเท้าอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอเชิญคลิกชมคลิปบันทึกบรรยากาศสถานที่และการสนทนาธรรม โดย รศ.สงบ เชื้อทอง ได้ที่นี่ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ