* ในชาติก่อนๆ นี้ ก็มีแต่ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง และหลงยึดถือว่ามีเรา มีบุคคล มีสิ่งต่างๆ มาโดยตลอด
* ที่ต้องเกิดมาในชาตินี้ ก็เพราะมีความไม่รู้ที่สะสมมาแสนนานเป็นปัจจัย และเมื่อเกิดมาแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีโอกาสเลยที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง และก็อยู่ไปๆ จนกระทั่งตายจากโลกนี้ ด้วยความไม่รู้ เหมือนกับขณะที่เกิดมา
* เมื่อมีแต่ความไม่รู้ที่มากมาย จนกระทั่งไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร ก็จะต้องอยู่ต่อไปด้วยความไม่รู้ และไม่คิดที่จะรู้ความจริงเลย หรืออาจจะถึงขั้นหลงผิดว่ารู้แล้วก็ได้
* หนทางเดียวที่จะค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็คือการอาศัยพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังและไตร่ตรองด้วยความตรงและละเอียดในแต่ละคำของพระองค์ ซึ่งจะไม่เหมือนกับความคิดเดิมๆ ของเราเลยทั้งสิ้น
* สิ่งที่มีจริง ที่พระองค์ทรงแสดงว่าควรรู้อย่างยิ่ง ก็คือสภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏทีละหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่วัตถุสิ่งของอะไรเลย เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาและเห็น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่ใช่เราเลย ซึ่งควรรู้อย่างยิ่งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ตามลำดับของปัญญา เริ่มตั้งแต่ปัญญาขั้นฟังเข้าใจในความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง จนกว่าจะเข้าใจมั่นคงว่าสิ่งที่มีจริงที่ควรรู้ยิ่ง ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหนเลย
โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... คติธรรม
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ