ขอถามเกี่ยวกับอาการบางอย่างของคนที่จุติจิตกำลังเกิดค่ะ ไม่ทราบว่ามีข้อคิดหรือในพระสูตรไหนบ้างคะ
๑. ตอนที่คุณแม่อายุ ๗๖ ปี อยู่ใน รพ. ผู้ที่มาเยี่ยมวัย ๗๘ ปีสองท่าน (ตอนนั้นเราเดินไปทำธุระประมาณ ๑๕ นาที) ได้สนทนากับคนดูแลผู้ป่วย ซึ่งบอกผู้มาเยี่ยมว่าเป็นลูกชายคนโตมาดูแล ผู้มาเยี่ยมจึงกลับเพราะผู้ป่วยไม่รู้เรื่องและไม่รู้จักคนเฝ้า และโทรมาถามตอนเย็นว่าเป็นใคร ซึ่งเรางงกันมากเพราะเฝ้ากันอยู่สองคนกับน้องชายและเดินไปทำธุระทั้งคู่ ไม่มีคนอื่นแน่นอน
๒. สามวันต่อมา ก่อนคุณหมอบอกว่าเสียชีวิตประมาณ ๒-๓ นาทีมีอาการน้ำตาไหล และตาปิดไม่สนิท หลังจาก กดปิดตาแล้วหน้าดูยิ้ม
ขอถาม :
๑. ใช่อาการของคนที่จิต เป็นอกุศลก่อนไปหรือเปล่า เพราะก่อนไปทรมานมาก เข็มฉีดยาแทงอยู่รอบตัวเลย เพราะไม่คิดว่าคุณแม่จะจากไปจึงบอกพี่น้องคนอื่นแต่เพียงให้เตรียมตัว จะอยู่ดูแลเองถ้าดูว่าไม่ไหวจะรีบบอกให้มา เนื่องจากลูกๆ บางคนอยู่ ต่างประเทศ และพี่ชายคนโต (ที่ยังอยู่) ก็ยังมาไม่ถึง จึงเป็นไปไม่ได้และไม่น่ามีคนอื่นมาสวมรอย ยังงงกันอยู่ทุกวันนี้ ในข้อนี้จึงอยากถามว่ามีพระสูตรไหนที่กล่าวเกี่ยวกับคน ใกล้จุติมั้ย และเป็นไปได้หรือเปล่าที่อะไรก็ไม่รู้มาอยู่ด้วย ถ้าจริงเป็นประเภทไหนคะ
อีกข้อค่ะ ผู้ที่ไปแล้วยังมาวนเวียนอีกได้หรือเปล่าคะ เพราะลูกๆ ท่านจะฝันเป็นตุเป็นตะเรื่อง เดียวต่อเนื่องกับอีกคน เช่นวันนี้ทางเราฝันว่าคุณแม่มาบ้านที่ท่านเคยอยู่ก่อนไป (สภาพ เหมือนก่อนเข้า รพ.ผอมๆ ) ก็เข้าไปพยุงแล้วถามว่าไปไหนมา คุณแม่บอกว่าไปเยี่ยมน้อง สาวสองวัน น้องสาวบอกว่าเขาเพิ่งฝันเมื่อสองวันว่าคุณแม่มาเยี่ยมบอกว่าเป็นห่วง ช่วงที่คุณแม่เสียแรกๆ ทุกคนจะฝันเห็นว่าผอมๆ เดินเหมือนตอนไม่สบาย เดี๋ยวนี้ฝันเห็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ใส่เสื้อผ้าสวยงาม อยากได้คำตอบและข้อคิดแต่ไม่ทราบจะถามยังไง ก็เลยร่ายมาซะยืดเยื้อเลย แต่ก็ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ตอนนี้ลูกๆ ได้แต่ทำบุญอุทิศไปให้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะรับได้หรือเปล่า แต่ก็ได้ทำให้
ต่ออีกนิดค่ะ คือคุณแม่ทราบดีว่า ลูกๆ ทุกคนกลัวผีแม้ตัวคุณแม่เองก็กลัว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอถาม :
๑. ใช่อาการของคนที่จิตเป็นอกุศลก่อนไปหรือเปล่า เพราะก่อนไปทรมานมาก เข็มฉีดยาแทงอยู่รอบตัวเลย เพราะไม่คิดว่าคุณแม่จะจากไปจึงบอกพี่น้องคนอื่น แต่เพียงให้เตรียมตัว จะอยู่ดูแลเองถ้าดูว่าไม่ไหวจะรีบบอกให้มา เนื่องจากลูกๆ บางคนอยู่ต่างประเทศ และพี่ชายคนโต (ที่ยังอยู่) ก็ยังมาไม่ถึง จึงเป็นไปไม่ได้และไม่น่ามีคนอื่นมาสวมรอย ยังงงกันอยู่ทุกวันนี้ ในข้อนี้จึงอยากถามว่ามีพระสูตรไหนที่กล่าวเกี่ยวกับคนใกล้จุติมั้ย และเป็นไปได้หรือเปล่าที่อะไรก็ไม่รู้มาอยู่ด้วย ถ้าจริงเป็นประเภทไหนคะ
สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ การเกิดขึ้นของกุศล อกุศล ล้วนแล้วแต่อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น และที่สำคัญไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ที่สำคัญที่สุด ควรเข้าใจ ความจริงครับว่า สภาพธรรมที่เป็น กุศล อกุศลนั้น เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เพราะ การเห็นด้วยตา เห็นสีเท่านั้นที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น การจะรู้ว่าใครเป็นกุศลจิต อกุศลจิตนั้น ไม่สามารถมองเห็นเพียงภายนอก ที่มีอาการ น้ำตาไหล และ มีอาการยิ้ม อีกประการหนึ่ง จิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว เพียงลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น เราไม่รู้เลยว่าชวนจิตสุดท้าย ก่อนจุติ จะเป็นกุศล หรือ อกุศล เพราะ ขณะที่น้ำตาไหล ยิ้ม ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตอนชวนจิตสุดท้าย ๕ ขณะ ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าจะไปเกิดในอบายภูมิ หรือ สุคติภูมิ ครับ เพราะ จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว เป็นกุศล อกุศล สลับกันก็ได้ ดังนั้น อาการเพียงภายนอก ไม่สามารถตัดสินได้เลยว่า ชวนจิตสุดท้าย ก่อนจุติ จะเป็นจิตที่เป็นกุศล หรือ อกุศล ครับ และก็ไม่มีใคร เตรียม บังคับให้ชวนจิตสุดท้าย เป็นกุศล เป็นดั่งใจได้ เพราะแม้ขณะนี้ ยังทำไม่ได้ จิตขณะต่อไป ก็ไม่สามารถบังคับให้เป็นกุศล หรือ อกุศล จะกล่าวไปไยถึงชวนจิตสุดท้าย ครับ
- ส่วนประเด็นที่ว่า มีตนมาเยี่ยมโดยไม่รู้ว่าใคร อันนี้ สิ่งที่ไม่เห็น ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อันนำมาซึ่งความสงสัย ก็ไม่เป็นประโยชน์ ครับ
ส่วนพระสูตร ที่กล่าวถึงการใกล้จุติ ก็มีตัวอย่างมากมาย อย่างเช่น แม้ผู้ที่ทรมานมากมายก่อนตาย แต่ก็ไปเกิดบนสวรรค์ก็มี ดังนั้น เราจะเอาเหตุการณ์ก่อนตาย มีการทรมาน หรือ ดูไม่ทรมาน มาตัดสินชวนจิตสุดท้ายว่าเป็นกุศล หรือ อกุศลไม่ได้ ครับ ยกตัวอย่าง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก่อนท่านสิ้นชีวิต ท่านป่วยหนัก และทรมานมาก ท่านพระสารีบุตรไปเยี่ยม ถามท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านกล่าวว่า โรคผมกำเริบหนัก ทรมานมาก ผมแทบทนไม่ได้ และเพียงแป๊บเดียว หลังจากพระสารีบุตรกลับไป ก็จุติเกิดขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต แสดงว่า ชวนจิตสุดท้ายของท่าน ๕ ขณะ เป็น กุศล ครับ
อีกข้อค่ะ
ผู้ที่ไปแล้ว ยังมาวนเวียนอีกได้หรือเปล่าคะ เพราะลูกๆ ท่านจะฝันเป็นตุเป็นตะเรื่องเดียวต่อเนื่องกับอีกคน เช่นวันนี้ทางเราฝันว่าคุณแม่มาบ้านที่ท่านเคยอยู่ก่อนไป (สภาพเหมือนก่อนเข้า รพ.ผอมๆ ) ก็เข้าไปพยุงแล้วถามว่าไปไหนมา คุณแม่บอกว่าไปเยี่ยมน้องสาวสองวัน น้องสาวบอกว่าเขาเพิ่งฝันเมื่อสองวันว่าคุณแม่มาเยี่ยม บอกว่าเป็นห่วง ช่วงที่คุณแม่เสียแรกๆ ทุกคนจะฝันเห็นว่าผอมๆ เดินเหมือนตอนไม่สบาย เดี๋ยวนี้ฝันเห็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ใส่เสื้อผ้าสวยงาม
อยากได้คำตอบและข้อคิด แต่ไม่ทราบจะถามยังไง ก็เลยร่ายมาซะยืดเยื้อเลย แต่ก็ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ตามธรรมดาแล้ว ผู้ที่จุติเกิด คือ ตายไป จะต้องปฏิสนธิจิตเกิด คือ เกิดเป็นบุคคลใหม่ทันที ไม่มีการวนเวียนของวิญญาณ ครับ เพราะ วิญญาณไม่มีวนเวียน เพราะ วิญญาณ คือ จิต จิตไม่มีวนเวียน แต่ จิตเกิดขึ้นและดับไป ไม่ขาดสาย วิญญาณไม่มีรูปร่างอะไรเลย ครับ เพราะเป็นแต่เพียงนามธรรม จึงไม่สามารถปรากฏได้ทางตา แต่ ปรากฏได้ทางใจ ปรากฏกับสติ และ ปัญญาที่รู้ว่า วิญญาณ เป็นสภาพธรรม ที่เป็นจิต ไม่ใช่เรา ครับ ดังนั้น ตายแล้วเกิดทันที ไม่มีการวนเวียน แต่ที่เห็นบางบุคคลที่ตายไปแล้ว แสดงถึงว่าเขาเกิดเป็นเปรต แล้วมาขอส่วนบุญ เพื่อให้ญาติจำได้ จึงมาในลักษณะเดิม เพื่อให้อุทิศส่วนกุศลไปให้ ครับ
- ส่วนการฝันถึงคนตาย ก็เป็นธรรมดาครับ สำหรับคนที่ฝัน ไม่ได้หมายถึงว่า เมื่อฝันถึงคนที่ตายไปแล้ว แสดงถึงว่า คนที่คายไปแล้วมาหาครับ ในความเป็นจริง ความฝัน คือ การคิดนึก ที่เกิดจาก เคยเห็น เคยได้ยิน สิ่งนั้น สิ่งนี้มาก่อน เพราะฉะนั้น เราเคย เห็นแม่ ก็ต้องฝันถึงแม่โดยเฉพาะ ช่วงที่ท่านตายไปได้ไม่นาน ฝันถึงคุณแม่บ่อย ก็ เพราะว่า ช่วงนั้นเราคิดถึงคุณแม่ และ ต้องทำอะไรเกี่ยวกับคุณแม่ ไม่ว่างานศพ หรือ การดูแลท่านในช่วงเวลานั้น เมื่อมีการคำนึง คิดถึง ในช่วงเวลานั้นบ่อยๆ ก็ทำให้ เมื่อท่านตาย ก็ฝันถึงท่านบ่อยๆ ได้เป็นธรรมดา นี่เป็นธรรมดาของสัจจะ ความจริงของ สภาพธรรม ที่เป็นสัญญา ความทรงจำ และเก็บไปฝัน ครับ ที่สำคัญประโยชน์สำหรับผู้ที่ตายไปแล้ว คือ คนที่มีชีวิตอยู่ ก็เป็นเครื่องเตือนว่าเราก็ต้องตายเป็นธรรมดา ควรทำดี และอบรมปัญญา และหน้าที่ของบุตรที่ดี ก็ทำบุญอุทิศกุศลไปให้ครับ ซึ่งถ้าท่านอยู่ในฐานะที่จะรับได้ คือ เป็นเปรต และเทวดา แล้วมีการอนุโมทนาบุญ ท่านก็รับได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
พุทธองค์ทรงแสดงถึงสิ่งมีชีวิตในจักรวาลแบ่งได้ ๓๑ ภพภูมิ
อรูปพรหม มี ๔ ภพภูมิ
รูปพรหม มี ๑๖ ภพภูมิ
สวรรค์ มี ๖ ภพภูมิ (เทวดา ๖ ชั้น)
มนุษย์ ๑ ภพภูมิ
ทุกข์คติภูมิ ได้แก่ อบาย ๔ ภพภูมิ (๑. สัตว์เดรัจฉาน ๒. เปรต ๓. อสุรกาย ๔. นรก)
ภูมิมนุษย์เป็นสุคติภูมิขั้นต่ำที่สุด
ในปัจจุบัน สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นเป็นตัวทันที หรือโอปปาติกะกำเนิดนั้นคือ
รูปพรหม-เทวดา-เปรต-อสุรกาย-สัตว์นรก
คงไม่มีใครเรียก พระพรหม และเทวดาว่า "ผี" ใช่ไหมครับ ดังนั้น ผี ที่หลายคนเจอก็
อาจจะเป็นเปรต หรือ อสุรกาย ก็ได้ (สำหรับสัตว์นรกนั้น พวกเราซึ่งเป็นปุถุชนคนธรรมดา
ไม่มีทางได้เห็นอยู่แล้วครับ)
ทั้งหมดเป็นเรื่องราว เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และเราก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะเราไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ได้ แต่เราก็สามารถทำความดี ด้วยการเสียสละ สงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก เสียภาษีให้แผ่นดิน อุทิศกุศลให้ผู้ตาย อุทิศกุศลให้เทวดา ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- แต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ความตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายที่ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เป็นเพียงจิตขณะเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็เกิดในภพใหม่ทันที ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติของชาติก่อนทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่น ที่สำคัญคือ ชวนะก่อนตาย จะเป็นกุศล หรือ อกุศล ซึ่งเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ถ้ากุศลจิตเกิดก่อนตายก็เป็นเหตุให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดา ตามสมควรแก่กุศลกรรม แต่ถ้าอกุศลจิตเกิดก่อนตาย ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
คนที่ตายไปแล้วย่อมเป็นไปตามกรรมของตนๆ ส่วนผู้ที่ยังไม่ตาย ก็อาจจะคิดไปได้ว่า คนนั้นอาจจะเกิดในสุคติภูมิ หรือเกิดในอบายภูมิ ก็เป็นเพียงความคิด คาดคะเน โดยไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้จริงๆ แม้แต่เราที่เกิดในภพนี้ชาตินี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งก็ไม่สามารถทราบได้ว่า ชาติก่อนเป็นใคร มาจากไหน และ ชาติต่อไปจะเกิดที่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะทราบได้
- เป็นธรรมดาของผู้ที่มีกิเลสอยู่ ที่ยังมีความฝันเกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งไม่มีตัวตนที่ฝันแต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น คิดนึกทางใจ ไม่ใช่ในขณะที่หลับสนิท เพราะขณะที่หลับสนิทจะไม่ฝัน, มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ซึ่งไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ จึงทำให้ฝันถึงผู้นั้นได้ ก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น เรื่องที่ฝันไม่มีจริง แต่สภาพคิด มีจริงๆ
- ในที่สุดแล้ว เราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกันคนที่ตายไปแล้ว นั่นแหละ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง คือ การสะสมกุศล สะสมความดีประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กุศลธรรม เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ส่วนอกุศล เป็นที่พึ่งไม่ได้ มีแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่ตนเองโดยส่วนเดียวเท่านั้น
- สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่การร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ แต่เป็นการกระทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใดก็ตาม มีความปรารถนาดีที่จะให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิของผู้ที่จะไปเกิดด้วย ว่าจะสามารถล่วงรู้และอนุโมทนาได้หรือไม่ ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือเกิดเป็นสัตว์นรก ก็ไม่สามารถที่จะอนุโมทนาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การกระทำบุญ ย่อมเป็นบุญของผู้ที่ได้กระทำ ได้สะสมเหตุที่ดี ที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่ตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่ไร้ผล ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงอย่าไปพะวง"
"อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีสติ"
"กุศลธรรม เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ
จริงๆ แล้วอ่านมาก็มาก ศึกษามาก็พอควร แต่พอถึงเวลาที่เผชิญกับทุกข์จริงๆ ความเศร้าโศกแซงหน้าทุกอย่างเลย
ขออนุโมทนาครับ