การแผ่เมตตาที่เราได้ยินได้ทำกันมามีจริงหรือไม่ในศาสนาพุทธและหากมี
1. คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจถูกหรือไม่ครับ
2. เราแผ่เมตตาเพื่ออะไร เพื่อใคร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การแผ่เมตตาในสมัยครั้งพุทธกาล คือ ผู้ที่มีปัญญาอบรมเจริญเมตตาจนมีกำลังมาก ไม่มีประมาณ จิตสงบ ระดับฌานจิต แล้วแผ่ความปรารถนาดี ความหวังดีไปยังสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ทุกทิศ ไม่มียกเว้นสัตว์ประเภทใดเลย แต่ก่อนที่จะถึงระดับขั้นที่สามารถแผ่ได้จะต้องอบรมเมตตาตั้งแต่เบื้องต้น คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความมีไมตรี ความหวังดีแก่เพื่อนๆ แก่สัตว์บุคคลที่เราพบเห็นทั้งหมด ถ้าหากว่ายังไม่สามารถมีความปรารถนาดี หรือเป็นมิตรกับทุกคนที่เราพบ คือยังมีความไม่ชอบหน้าบุคคลบางคน เมตตาชื่อว่ายังไม่ได้เจริญให้มีกำลัง แบบนี้ยังแผ่ไม่ได้ ส่วนการท่องคำแผ่เมตตาว่า สัพเพสัตตา เป็นต้นนั้น เรียกว่า ท่องคำแผ่เมตตาไม่ใช่แผ่เมตตา
การแผ่เมตตา คือ การที่แผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง อันเกิดจากกำลังของการเจริญเมตตาฌานที่มีกำลังถึงอัปนาสมาธิแล้ว ซึ่งเหตุผลที่สำคัญของการเจริญเมตตาที่ได้ฌาน เพื่อถึงความสงบจากกิเลส ที่เป็นอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ ซึ่ง ผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา เช่น สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับผลของการแผ่เมตตาของผู้อื่น เพราะ กุศลของใครก็ของคนนั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน หากแต่ว่าถ้าผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา สามารถรู้คือ ล่วงรู้ถึงผู้อื่นว่า ผู้ที่กำลัง
แผ่เมตตามีกุศลจิตที่หวังดีย่อม ย่อมจะเป็นปัจจัยให้บางบุคคล ไม่ใช่ทุกคนคือ เกิดกุศลจิต ที่ผู้อื่นหวังดีก็เกิดจิตเมตตาด้วยเช่นกันก็ได้ แต่ก็ไมได้หมายความว่าทุกคนเมื่อรู้แล้ว จะเกิด กุศลจิต ที่มีเมตตาตอบ ก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล อย่างเช่น ในพระสูตรหลายๆ พระสูตร
ขอยกตัวอย่าง ที่ พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านถูกงูกัดมรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า เพราะ เธอไม่ได้เจริญเมตตา แผ่เมตตาไปในพญางูทั้งหลาย หากว่าเธอมีเมตตา ในพญางู งู ย่อมไม่เบียดเบียนเธอเลย จากเรื่องนี้ แสดงว่า หากมีเมตตาที่มีกำลังจนได้ฌานและ แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย หากสัตว์เหล่านั้นทราบ ย่อมมีเมตตาในบุคคลที่แผ่เมตตาก็ได้ ครับ
อีกเรื่องหนึ่ง ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ในราวป่า เทวดาต่างก็แปลงเป็นผีมาหลอกหลอน พระพุทธเจ้าให้เจริญเมตตา แผ่ไปในเทวดาทั้งหลายต่อมา เมื่อ พระภิกษุทั้งหลายเจริญเมตตา ในสัตว์ทั้งหลาย และ กับเทวดาเหล่านั้นเทวดา ทราบถึงไมตรีจิต จึงเกิด จิตที่เป็นกุศลตอบ คือ เกิดเมตตาในเหล่าพระภิกษุจึงอารักขาพระภิกษุ ที่ท่านกำลังประพฤติธรรมในป่า ครับ
จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า การแผ่เมตตาไปในสัตว์อื่น กุศลจิตของผู้แผ่ไม่่ได้ทำให้ สัตว์อื่น จะได้รับผลของกุศล แต่ อาจทำให้เกิดกุศลจิตในสัตว์อื่นได้ถ้าสัตว์เหล่านั้นรับรู้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม ละเอีดย ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ จึงจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ที่อธิบายถึงความเป็นจริงของเมตตา ไว้ว่า
“เมตตา มีความเป็นไปโดยอาการที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็นลักษณะ มีการนำเข้าไปซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นกิจ มีการกำจัดความโกรธ ความอาฆาตเป็นอาการปรากฏ มีการมองเห็นสิ่งที่น่าพอใจของสัตว์ทั้งหลาย (คือไม่เป็นศัตรู) เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เมตตานี้มีการสงบพยาบาทเป็นสมบัติ มีการเกิดขึ้นแห่งเสน่หา (ความติดข้อง หรือ โลภะ) เป็นวิบัติ”
ประโยชน์ที่ควรจะได้พิจารณาเป็นเบื้องต้น คือ เมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน หวังดี ไม่หวังร้าย เป็นสภาพธรรมที่เป็นประโยชน์ในทุกที่ทุกสถาน การที่จะมีเมตตา มีได้ทุกขณะเลยในขณะที่ไม่โกรธ หรือว่าไม่ขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่จะรู้ว่าตัวเองมีเมตตาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก็จะสังเกตได้ว่า ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่มีเมตตา ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว ถ้ารู้ตัวอย่างนี้ ความโกรธก็จะลดลง เมตตาก็จะเพิ่มขึ้นแทนความโกรธได้ ให้อภัยได้ทันที ใจไม่เป็นทุกข์ไม่มีความเดือดร้อน ครับ
~ เมตตา หมายความถึงความเป็นมิตร ความไม่ใช่ศัตรู ขณะใดที่หวังเกื้อกูล คิดถึงประโยชน์ของคนอื่น ขณะนั้นเป็นจิตที่เมตตา ซึ่งเมื่อจิตเมตตาเกิดขึ้นแล้ว เวลาที่กุศลจิตเกิด ย่อมมีทางของกุศล คือ กายบ้าง วาจาบ้าง ขณะที่เมตตาเกิดจริงๆ นี้ กายจะเป็นกุศลจริงๆ ช่วยเหลือได้ทันที ไม่อิดเอื้อน หรือไม่รู้สึกว่า ไม่ใช่ธุระ หรือทางวาจาที่เมตตา คำพูดก็จะต่างกับขณะที่ไม่เมตตา เป็นคำพูดที่คำนึงถึงผู้ฟัง ไม่ทำให้เขาเกิดความเสียใจ เพราะว่าพระธรรมนี้ละเอียดมาก แม้แต่การที่เพียงแต่จะย้อนเพื่อน ขณะนั้นก็รู้ว่า กำลังย้อนนั้น ไม่ใช่เพื่อน คนละขณะกับที่เป็นเพื่อนแล้ว จิตขณะนั้นเป็นอกุศล ปราศจากเมตตาแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้ศึกษาธรรมโดยละเอียดนี้ ก็จะทำให้กาย วาจาเพิ่มความระมัดระวัง และเป็นกุศลขึ้นที่ประกอบด้วยเมตตา
~ ถ้าท่านเป็นเพื่อนแท้ของบุคคลใด ก็แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อบุคคลนั้น และก็จะรู้ได้ว่า ถ้าหวังร้ายต่อใคร หรือว่ายินดีในความพินาศของใครขณะใด ขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญเมตตา ไม่ต้องไปแผ่ถึงไกลมาก เพียงแต่ผู้ที่ท่านรู้จักคุ้นเคย แล้วท่านเกิดความไม่พอใจในความเจริญของบุคคลนั้น หรือว่ายินดีในความพินาศของบุคคลนั้น ก็ชื่อว่าท่านไม่ได้เจริญเมตตาในขณะนั้น
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๘๑
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
แผ่เมตตา
คำสั้นๆ ...เมตตา
เมตตา คือ อโทสะ หรือ ความไม่โกรธ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อนุโมทนาค่ะ
เมตตาเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่เดือดร้อนค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ