ถ้าท่านมีศรัทธาที่จะ เจริญสติปัฎฐาน และ เข้าใจในหนทางปฎิบัติที่ถูกต้องแล้ว ก็เจริญสติปัฎฐานได้ (ไม่ใช่ศรัทธาเพียงขั้นตรึกตรองนึกคิดเท่านั้น) การเจริญสติปัฎฐาน เริ่มที่สติระลึกรู้ รู้สึกตัวหรือรู้ตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะเดี๋ยวนี้ (ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต) เช่น ในขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏหลายอย่าง คือทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางจมูกก็ได้กลิ่น อย่างนี้ก็ต้องพยายามรู้สิ่งที่ปรากฏทีละอย่าง เช่น ระลึกรู้ที่เสียงที่กำลังได้ยิน ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น มี ๒ อย่างด้วยกัน ตัวเสียงเองอย่างหนึ่ง กับได้ยินเสียงอีกอย่างหนึ่ง เรารู้มาแล้วว่า ตัวเสียงเองนั้นไม่รู้อะไรเลย จึงเป็นรูป ได้ยินเสียงเป็นสภาพรู้ ก็เป็นนาม รู้เพียงนี้ก่อน แล้วค่อยๆ หัดสังเกตสำเหนียกบ่อยๆ เนืองๆ สติก็จะเกิดมีมากขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้น รู้ชัดขึ้น คมกล้าขึ้น จนสามารถละคลายการยึดมั่นว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้
ต้องไม่ลืมว่า การเจริญสติเป็นการเจริญปัญญา ให้รู้ชัดในสภาพที่แท้จริงของธรรมที่กำลังปรากฏ อย่าทำอะไรให้ผิดปกติ การเจริญสติปัฎฐาน ไม่จำกัดเวลา และสถานที่ใดๆ ทั้งสิ้น สติเกิดได้ทั้งนั้น ถ้าคอยเลือกโอกาส เลือกสถานที่และเวลาแล้ว ก็น่าเสียดายที่วันหนึ่งๆ หมดไป โดยสติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง พิจารณาเนืองๆ ว่า ในขณะนี้เป็นลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ถ้าเกิดโกรธ หรือยินดี พอใจ ก็ช่วยไม่ได้ อย่าละเลยพิจารณาสภาพนั้นทุกครั้งที่เกิดขึ้น เพราะเป็นของที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อจะได้ละการยึดถือว่า ความโกรธ ยินดี พอใจ เป็นตัวตน ซึ่งที่แท้แล้ว ก็เป็นรูปธรรม นามธรรม เท่านั้น ต้องเข้าใจว่า รูปนั้นไม่มีอะไรเลย นามนั้นเป็นสภาพรู้ ลักษณะรู้ธาตุรู้ อาการรู้ ต้องเข้าใจ และจำให้ได้ แล้วจะตัดสินได้ถูกเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏ และนี่คือปัญญาขั้นต้น ถ้าไม่รู้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเจริญสติปัฏฐานได้
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ