ในช่วงเกือบอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ตัวผมเริ่มมีการนั่งสมาธิและรักษาศีลเป็นกิจวัตรประจำวันครับ เพราะเกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างในชีวิตจนเหมือนตัวเองอยากหาทางดับทุกข์ครับ ในใจคิดอยากจะบวชตลอดเวลาคิดอย่างนี้มาหลายปีแล้วครับ แต่ด้วยยังติดเรียนและมีอะไรพัวพันในชีวิตอยู่จึงยังไม่สามารถทิ้งภาระตรงนี้ได้ครับ จึงเริ่มตั้งใจสมาทานศีลแลนั่งสมาธิทำวิปัสสนาเพื่อทำจิตตัวเองให้บริสุทธ์จะได้ไม่ประมาทหากได้บวชในภายภาคหน้าดั่งที่หวังไว้จริงๆ ครับ
แต่เหตุที่อยากจะถามในหัวข้อนี้คือ เรื่องในขณะที่นั่งสมาธิไปหลายๆ วันเข้าเริ่มมีอาการเสมือนร่างกายหายไปครับแต่รู้สึกเหมือนตัวเองเหลือเพียงแค่จมูกที่ใช้หายใจเท่านั้น ก็ปฏิบัติต่อไปแบบนั้นชั่วขณะก่อนจะถอนสมาธิออกมา จากนั้นอาการเหล่านั้นก็หายไปกลับมาปกติ
แต่ทว่าพอมาใช้ชีวิตประจำวัน ตัวผมกลับมองทุกอย่างเป็นกิเลสไปหมด หรือมองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นทุกข์ครับ ไม่มีความรู้สึกมีความสุขในการใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันอย่างนี้เลย อารมณ์ว่ายิ่งมีสิ่งแปลกประหลาดและความสงบนิ่งจากการนั่งสมาธิมากเท่าไหร่ พอผมถอนตัวออกมายิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เห็นในชีวิตมากเท่านั้น ประมาณว่า พิจารณาสิ่งของ พิจารณาอาหาร พิจารณาทุกการกระทำว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้นเป็นกิเลสเป็นสิ่งของไร้สาระ การสนทนากับเพื่อนฝูงเรื่องต่างๆ นาๆ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ไม่มีสาระ ยิ่งคุยกับพวกเขาหรือพบปะใครก็เหมือนจะสามารถสร้างแต่สิ่งอกุศลได้ทุกเมื่อ หรือบางทีเราเผลอหลุดคำพูดที่เหมือนโกหกหรืออะไรจะรีบบอกกลับไปทันทีเลยว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่คือเผลอพูดหรือกระทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากเหตุการณ์ที่เล่ามาทำให้ผมรู้สึกสงสัยในตัวเองครับว่าตอนนี้ตัวเรากำลังงมงายมีโมหะ หรือทำอะไรผิดพลาดจากการทำสมาธิหรือเปล่า เพราะเนื่องด้วยฝึกด้วยตัวเอง อ่านจากตามเว็บตามเน็ต ฟังธรรมผ่านยูทูปเอา ไม่มีพระอาจารย์เลยทำให้ตัวผมในตอนนี้เริ่มมีความกังวลกับสิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่เริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย และที่สำคัญ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าชีวิตประจำวันเป็นธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปราศจากธรรม เลย แม้แต่ความคิดอย่างนั้นๆ ก็มีจริงๆ ไม่พ้นจากจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะไม่มีความเข้าใจถูกได้เลย เพราะเคยสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น เคยคิดอย่างนั้นๆ เมื่อได้เหตุปัจจัย ความคิดอย่างนั้นๆ ก็เกิดขึ้น
สิ่งที่มีจริง ที่ควรฟัง ควรศึกษาให้เข้าใจนั้น ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เลย เมื่อมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง จากการได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมและปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ
ไม่ควรไปทำอะไรที่ผิด เช่น นั่งสมาธิ เป็นต้น เพราะไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เข้าใจความจริง แต่ควรตั้งต้นที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะมีเหตุปัจจัยให้คิดไตร่ตรองถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แทนที่จะไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น
ถ้าประสงค์จะศึกษาธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็เริ่มได้เลย ณ ขณะนี้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการไปบวชเลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ