เมื่อหลายปีก่อน ประสบอุบัติเหตุ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนานนับเดือน เมื่อ
ออกจากโรงพยาบาล น้องชายก็เสียชีวิต เพื่อนๆ ผู้ศึกษาการดูลักษณะฮวงจุ้ย บอกว่า
บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำนั้น มีลักษณะไม่ดี ควรเปลี่ยนฮวงจุ้ยใหม่ จะได้ไม่มีเคราะห์กรรมอะไร
อีก ตอนนั้นฟังธรรมพอเข้าใจบ้างแล้ว เชื่อกรรมและผลของกรรมบ้างตามสมควรแก่
ความเข้าใจนั้น จึงไม่หวั่นไหวที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร คิดว่า ถ้าเปลี่ยนฮวงจุ้ยแล้วไม่
ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ทุกคนในโลกนี้ก็คงไม่มีญาติพี่น้องตาย หรือตัวเองก็คงไม่
เจ็บป่วย และที่เจริญก้าวหน้าในชีวิตขนาดนี้เพราะอยู่บ้านหลังนี้ล่ะ นักดูฮวงจุ้ยไม่ได้
พูดถึงเลย
เมื่อเดินผ่านบางลำพู ถิ่นเก่าตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นบางลำพูคึกคักจอแจมาก
การค้าขายเจริญรุ่งเรือง บัดนี้เงียบเหงา มีแต่คนขายเต็มไปหมด ไม่ค่อยมีคนซื้อ เพราะ
วัยรุ่นสมัยนี้ไม่นิยมมาเดินที่ตลาดบางลำพูเสียแล้ว คนเชื่อฮวงจุ้ยก็บอกว่า ฮวงจุ้ย
เปลี่ยนไป ต้องทำพิธีเสียใหม่ จะได้เจริญขึ้น ลืมนึกไปว่า บริเวณใกล้เคียงกัน คือ วัด
บวรนิเวศนั้น ก็เจริญรุ่งเรืองเหมือนเดิม มีคนเข้าออกมากมาย
ทำให้นึกถึงเรื่องที่ได้อ่านในสิริชาดก ที่มีพราหมณ์ที่สามารถดูสิ่งที่มีสิริได้ ได้
เข้ามาดูสิริในบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นสิริอยู่ที่ไก่ที่ท่านเศรษฐีเลี้ยง ก็ขอ
ไก่ เมื่อท่านเศรษฐีออกปากให้ สิริก็ย้ายไปอยู่ที่ไม้เท้า เมื่อขอไม้เท้า สิริก็ย้ายที่ไปที่อื่น
อีก จนกระทั่งไปอยู่ที่ภรรยาของท่านเศรษฐี พราหมณ์ผู้นั้นจึงนึกขึ้นได้ว่า สิริอยู่กับผู้มี
บุญ คือ ผู้ที่ทำบุญไว้แล้วและกำลังทำบุญอยู่ อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
และอีกเรื่องหนึ่ง ที่พระเจ้าโกศลแห่งแคว้นโกศล ขอประทานผู้มีบุญจากแคว้นมคธ
ไปอยู่ที่แคว้นโกศล เพื่อจะให้แคว้นโกศลเจริญรุ่งเรือง และท่านธนญชัยเศรษฐี บิดา
ของท่านมหาอุบาสิกาวิสาขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองสาเกตุ แคว้นโกศล
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้มีบุญ คือ ผู้ที่ได้ทำบุญไว้แล้ว จะอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เจริญรุ่งเรือง
เพราะเป็นผลของกุศลที่ทำไว้แล้ว แต่แม้กระนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยังพบกับ
ความยากจน เพราะผลของอกุศลที่ทำไว้แล้วเช่นกัน จึงไม่เกี่ยวกับฮวงจุ้ย หรืออะไรทั้ง
สิ้น แต่ขึ้นอยู่กับกุศลที่ได้ทำไว้แล้วหรือไม่เท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่า ทิฏฐุชุกรรม การทำให้ความเห็นให้ตรงตามสภาพธรรมตามความเป็น
จริง ซึ่งเป็น ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั้น เป็นกุศลอย่างยิ่ง เพียงเห็นว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัย คือ กรรมที่ทำไว้แล้ว เมื่อทำอกุศลกรรม ก็ต้องได้รับอกุศลวิบาก เหมือน
เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้ ทำไว้เองก็ต้องใช้เอง จะให้คนอื่นใช้ให้ได้อย่างไร เมื่อทำกุศลกรรม
ก็ต้องได้รับกุศลวิบาก เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามกำลังของกุศลกรรมที่ทำไว้ และ
เมื่อมีความเข้าใจสภาพธรรมมากขึ้น ก็จะเห็นว่ากุศลวิบาก และอกุศลวิบาก ก็เกิดขึ้น
เพียงชั่วขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับ
ไปอย่างรวดเร็ว ไม่คุ้มค่ากับความหวังที่จะได้ผลดีๆ เหล่านั้นเลย และไม่คุ้มกับความ
วิตกกังวลที่กลัวว่าจะได้รับสิ่งต่างๆ ที่ไม่ดีเช่นกัน
แสดงว่า ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง ชื่อแซ่ ลายมือ ดวง เคราะห์ ฤกษ์ ยาม ราศี ชงไม่ชง ฯลฯ ก็ไม่แน่ไปกว่า กฎแห่งกรรม เลยนะครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงครับ
ขออนุโมทนาบุญครับ ชีวิตเกิดแต่กรรม สร้างกรรมใหม่ รับกรรมเก่า จะหนีกรรมไปทำไม หนีไม่พ้นแน่นอน รับอกุศลวิบากเสียในขณะที่จิตรู้ ดีกว่าไม่รู้ ครับ ด้วยความเข้าใจในธรรมะ
ปิหา ความหวัง อาสา ความปรารถนา อภินันทนา ความอยาก สรา ความซ่านไป ก็เป็นธรรม ยังเกิดอยู่ เป็นปัจจัยให้อยากรู้อยากเห็นอะไรที่จะเกิดในอนาคต โหราศาสตร์ก็เป็นศาสตร์ที่คู่บ้านคู่เมืองเป็นมาในอคีต ทั้งๆ ที่รู้ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม ก็ยังไม่วายที่จะอยากรู้อยากเห็น....ฯ
พุทธบริษัทที่ดี เชื่อมั่นในกรรมและผลของกรรม ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว
การเจริญกุศล การทำความดี การฟังธรรม การสนทนาธรรม ฯลฯ เป็นมงคลอันอุดม
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ดังนั้นหากเราหนีกรรมไม่ได้ ก็แสดงว่าศาสนาก็ช่วยเราไม่ได้เช่นกันใช่หรือไม่ครับ ขออนุโมทนาครับ
จะหนีกรรมได้ เมื่อปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทำลายกิเลสทั้งปวง บรรลุเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับมาเกิดอีก แต่ถ้ายังเป็นปุถุชน ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสาระ ก็ย่อมได้รับผลของกรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล
ศาสนาจะช่วยได้ เมื่อเข้าใจคำสอนของศาสนาอย่างแท้จริงค่ะ ขออนุโมทนา ขอให้เจริญยิ่งด้วยปัญญา เข้าใจคำสอนที่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติตาม จนสามารถหนีกรรมได้ในที่สุด
กรรม ยุติธรรมเสมอค่ะ
....ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงค่ะ...
หนีกรรมกรรมในที่นี้คงหมายถึงหนีผลของกรรม..กรรมเป็นปรมัตถธรรมหมายถึงเจตนาเจตสิก..ที่ว่าหนีกรรม..หนีได้จริงๆ ..เมือเจตนาเจตสิกไม่เกิดคือจิตดับเป็นสมุทเฉท (เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง) เรียกกันว่าปรินิพพานผลของกรรมดี (ผลของกุศลกรรม) คงไม่มีใครอยากหนี..คงอยากหนีเฉพาะผลกรรมไม่ดี (ผลของอกุศลกรรม) ศาสนาหรือพระธรรมเป็นคำสอนหากเป็นเพียงตำราไม่ศึกษาให้เข้าใจ..น้อมประพฤติปฏิบัติตามก็ไม่เกิดประโยชน์ (ช่วยไม่ได้) ..หากศึกษาให้เข้าใจน้อมประพฤติปฏิบัติตาม..เกิดปัญญา..สามารถละกิเลสได้ตามลำดับจึงจะเป็นหนทางที่จะหนีกรรม....ทั้งดีและชั่วได้
ขออนุโมทนาค่ะ.
ขออนุโมทนาครับ
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองคฺ์เป็นสัจจธรรม..ชัดเจน..ไม่แปรเปลี่ยนไปตามกระแสโลก..เช่นหลักกรรม เป็นจริงแท้แน่นอน..ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม..กรรมที่กระทำสำเร็จแล้ว..ไม่ลืมที่จะให้ (มี) ผล..แม้ผู้กระทำจะลืมแล้วหรือไม่สามารถจะระลึกได้ก็ตาม...กราบขอบพระคุณท่านอจ.สุจินต์ฯ ท่านวิทยากร อจ.กาญจนาฯและทุกๆ ท่านในมูลนิธิฯนี้..ในบ้านธรรม..ที่ทำให้ผู้ไม่รู้ ผู้เริ่มศึกษาอย่างดิฉัน ได้มีโอกาสฟัง (อ่าน) พระธรรมของพระ-พุทธองค์ขอกราบอนุโมทนาค่ะ...
ขอบคุณสำหรับคำตอบมากเลยครับ แต่ใครบ้างที่เรากล้ากล่าวอ้างได้ว่าหนีกรรมได้แล้ว หรือมีอะไรเป็นหลักฐานข้อยืนยันว่าเป็นแบบนั้นจริง แล้วกรรมที่ว่า นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าเราไปทำมาแต่เมื่อไร แล้วเป็นความยุติธรรมแล้วหรือเปล่าที่เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรไปแต่ต้องกลับมาชดใช้ และต้องชดใช้ไปอีกกี่ปี เพราะแต่ละชีวิตที่เกิดมา เราก็อยู่ตั้งนานกว่าจะตายจากโลกนี้ไป และหากสิ่งที่เราสอนกันมันไม่ใช่อย่างที่เราคิด อะไรจะเกิดกับเราบ้างครับ เพื่อจะตอบคนอื่นๆ ได้อะนะคับ ขออนุโมทนาครับ
พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เชื่ออะไรง่ายๆ ให้เชื่อเมื่อรู้ด้วยตนดังนี้เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศลธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น เชิญคลิกอ่าน...
มิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง [เกสปุตตสูตร - กาลามสูตร].....................................
ถ้าศึกษาเรื่องของกรรมแล้วจะทราบว่ากรรมเป็นเรื่องซับซ้อนรู้ได้ยากพระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งไม่ควรคิด..พิสูจน์ได้ด้วยการลองศึกษาเรืองของกรรมดูใน webนี้ก็มีข้อมูลจำนวนมากเชิญคลิกอ่าน...
สิ่งที่ไม่ควรคิดเพราะไม่ใช่ฐานะที่จะรู้ได้ [อจินติตสูตร]
ความเห็นต่อจากคุณ tanon ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยคิดอยู่เหมื่อนกันนะ แต่ก็ได้คำตอบลงที่ กรรมดีและกรรมชั่วต้องเคยทำมาแน่ๆ ในอดีต จะเห็นได้จากในชีวิตประจำวันมีการกระทำที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล และก็มีได้รับทั้งกุศลและอกุศล ในอดีตก็ต้องมีความประพฤติเหมือนในขณะนี้แหละ ธรรมคือการสั่งสมเกิดตามเหตุและปัจจัย คือ กิเลสกรรมสังสมวิบาก ดีและชั่วก็จะให้ผลเป็นวิบาก ก็ให้ผลเป็นกรรมในขณะนี้
ที่นี้ถ้าจะเป็นความไม่ยุติธรรมเพราะไม่รู้ว่าไปทำมาเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องไปคิดเหตุผลนี้ แต่ก็มีกุศลและอกุศลในประจำวัน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็ยังเป็นเหมื่อนเดิมคืออย่างนี้แหละ ดังนั้นถ้าจะกระทำกรรมดีรักษาจิตให้เป็นกุศลเพื่อวิบากที่ดีก็ไม่เป็นการเสียหายอะไร....ฯ
ขอขอบพระคุณ คุณ KANCHANA.C มากๆ ค่ะ
เรียนคุณ KANCHANA.C คนสมัยนี้ มักเชื่อเรื่องแก้กรรม ดูดวง เปลื่ยนชื่อ แก้ปีชง
สวดคาถาต่างๆ รวมหนูด้วย (ก่อนที่จะรู้จักมูลนิธิและได้ศึกษาพระธรรมจากมูลนิธิ)
ถ้าคุณ KANCHANA.C จะอนุเคราะห์ ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องเหล่านี้
ที่อยู๋ในพระไตรปิฎก เช่นฮ้วงจุ้ย ที่โพสไว้ เพื่อเป็นเหตุผลก่อนที่จะเชื่ออะไรโดยไม่
มีข้อมูลว่าเหตุสมควรกับผลหรือไม่ (เมื่อพูดให้โครฟังก็มีหลักฐานอ้างอิงได้)
เพื่อเผยแพร่ความคิดที่มีเหตุมี่ผลในเรื่องความเชื่อ (คนส่วนใหญ่ขาดหลักยึด
ทางความคิด)
ขอขอบพระคุณในกุศลจิตของท่านค่ะ
ศิริพร ดิลกกุลวัฒนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๑๗ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลแต่ละคน หรือแม้กระทั่งเกิดกับตัวเราเอง ไม่ว่าดีหรือร้าย น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะกรรมที่เคยได้กระทำมาแล้ว ไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีใครมอบความเดือดร้อนให้แก่ใครๆ ได้ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ให้ผลตามกาลอันควร โดยไม่ปะปนกันเลย เพราะเหตุว่า กุศลกรรมให้ผลที่ดี ให้ผลที่น่าปรารถนา น่าพอใจ ส่วนอกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์ ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเิติมได้ที่นี่ ครับ โภคะ ย่อมเกิดแก่ท่านผู้มีบุญ [สิริชาดก] เวลาที่เป็นฤกษ์ดี [สุปุพพัณหสูตร] ชื่อ มีไว้สำหรับเรียกกัน ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย วิทยากร ผู้รอบรู้ของมูลนิธิค่ะ และขอบคุณคุณศิริพรดิลกกุลวัฒนา ที่ทำให้นึกได้ว่า เมื่อจะพูดเรื่องใด ควรจะมีที่มาและหลักฐานอ้างอิงด้วยทุกครั้ง และคุณศิริพร สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากอรรถกถาของพระสูตรนั้นๆ ค่ะ และขออ้างถึงพระสูตรอีกพระสูตรหนึ่ง ที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน คือ จากขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต มีข้อความว่า
ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลาผู้มัวถือฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลายจักทำอะไรได้
แสดงว่าความเชื่อเรื่องดวงดาว ฤกษ์ยาม ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง ลายมือ เคราะห์ ดูดวง เปลี่ยนชือ ปีชง ก็เป็นความเชื่อชนิดหนึ่ง ที่จริงๆ แล้วยังเป็นความเชื่อของคนจำนวนมาก จนสามารถประกอบเป็นอาชีพได้ ต่างกับความเชื่อของผู้ที่ศึกษาธรรม ที่มีความเข้าใจว่า เมื่อมีพระพุทธเจ้าอุบัติ ทุกพระองค์ก็จะมีกำลัง ๑๐ ประการดังนี้....
รู้ในฐานะและอฐานะ รู้ในปฎิปทาอังยังสัตว์ให้ถึงในที่ทั้งปวง รู้ในนานาธาตุโลก รู้ในสัตว์ทั้งหลายมี่อัธยาศัยต่างๆ รู้ในความต่างแห่งวิบากในสัตว์ อดีต ปัจจุบัน อนาคตรู้ในความเศร้วหมองและความผ่องแผ้วของสัตว์ รู้ในความแตกต่างของอินทรีของสัตว์รู้ในอินทรีของสัตว์ในกาลก่อน ๑ ชาติบ้าง ๑๐ ชาติบ้าง ๑๐๐๐ ชาติบ้าง รู้การจุติของสัตว์ รู้ในสัพพัญญุตญาณ
ขอขอบพระคุณ คุณ KANCHANA.C คุณ KHAMPAN มากค่ะ ที่กรุณาให้
ความรู้ทางธรรม (หลักฐานอ้างอิงนี้จะถูกเผยแพร่ไปยังคนที่มีความเชื่อในเรื่อง
ฮวงจุ้ย ดูดวง แก้ปีชง เปลื่ยนชื่อ ฯลฯ ให้ได้มีมุมมองอีกด้านหนึ่งที่มีเหตุผล)
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ขึ้นอยู๋กับอัธยาศัย การสะสมของแต่ละบุคคล (พยายามไม่คาด
หวัง ขอให้ได้มีโอกาสเผยแพร่ก็พอแล้ว)
ทุกอย่างเกิดจาก เหตุ ปัจจัย ใช่ไม๊ค่ะ
ศิริพร ดิลกกุลวัฒนา