เพราะเหตุไร จึงมีการเปรียบเปรยว่า
ความพยาบาท จึงเปรียบเหมือนการเผาจิต
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความพยาบาทเป็นความขุ่นเคืองที่คิดจะประทุษร้าย ซึ่งก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ โทสะ ซึ่งก็ควรเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เป็นโทสะ ว่า คืออะไรครับ
กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน คือ โทสะ, โทสะหรือความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง สามารถที่จะเกิดได้กับทุกบุคคลตราบใดที่ยังไม่ได้ดับโทสะได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย โทสะก็เกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
โทสะ เป็นข้าศึกภายในที่ประทุษร้ายทันทีที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้ถูกใครประทุษร้ายเบียดเบียนเลย นอกจากโทสะซึ่งเป็นสภาพที่ประทุษร้าย ซึ่งเป็นกิเลสของเราเอง สำหรับโทสะที่ว่าเป็นข้าศึกภายในที่ประทุษร้ายทันทีที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีหลายระดับตั้งแต่เพียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย จนกระทั่งมีกำลังกล้าถึงขั้นประทุษร้าย เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย หรือด้วยวาจา เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลธรรม ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย มีแต่โทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น และไม่ได้หมายเอาเฉพาะโทสะเท่านั้นที่มีโทษ ต้องหมายรวมถึงอกุศลธรรมทุกประเภทด้วย ที่มีแต่โทษโดยส่วนเดียว ไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์ใดๆ เลย
ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะกั้นข้าศึกนี้ได้เลย ถ้าจะพิจารณาแล้วข้าศึกภายนอกยังมีป้อมปราการเป็นเครื่องกั้น มีประตูหน้าต่างเป็นเครื่องกั้น แต่ว่าโทสะซึ่งเป็นข้าศึกภายใน เกิดขึ้นเมื่อใดประทุษร้ายทันที หนีไม่ทัน เพราะเหตุว่าไม่มีเครื่องกั้นเลย เมื่อเป็นเช่นนี้สำหรับบุคคลผู้มีปัญญา ท่านเห็นโทษของโทสะ ท่านเข้าใจว่าโทสะเป็นอกุศลธรรมที่พึงละ ไม่ควรพอใจ ไม่ควรยินดีที่จะโกรธต่อไป เพราะเหตุว่าความโกรธแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เมื่อสะสมมากขึ้นก็อาจจะถึงขั้นผูกโกรธ พยาบาท เกลียดชัง แค้นเคือง ที่จะเป็นเหตุให้เกิดการประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางกาย หรือทางวาจาในภายหน้าได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งแก่ตนและผู้อื่นเลย
เพราะฉะนั้น โทสะที่มีกำลัง ย่อมถึงความพยาบาท ย่อมเผาจิต ให้เสีย เสียจากคุณความดี ผู้ที่เกิดจิตที่พยาบาท ก็เผาด้วยไฟ คือ โทสะ จึงชื่อว่าเผาจิตด้วยโทสะ ครับ
ดังนั้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนที่ดี แม้อกุศล พระองค์ก็ทรงแสดงเพื่อให้เห็นอกุศลตามความเป็นจริง พร้อมทั้งทรงแสดงโทษไว้ด้วย เตือนให้ไม่หลงผิดไปในทางที่ไม่ดี แต่ให้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย จึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยการเข้าใจถูกว่าธรรมเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แม้ โทสะ พยาบาทที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรม อันเป็นหนทางดับกิเลสอย่างแท้จริง ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่พยาบาท เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ ความโกรธ ความไม่พอใจ นั้นเอง (โทสเจตสิก) ย่อมไม่สบายใจ กระวนกระวายเดือดร้อน ไม่เป็นสุข ขึ้นชื่อว่าความโกรธแล้วไม่ดีเลย ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม เพราะเป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่มีโทษ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยเฉพาะในส่วนที่จะเป็นไปเพื่อการระงับความโกรธหรือความพยาบาทนั้น พระองค์ทรงแสดงเพื่อให้มีเมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดีต่อเขา, กรุณา เห็นใจเขา สงสารเขา, อุเบกขา ความเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศลในบุคคลเหล่านั้น
ธรรมดาของบุคคลผู้ยังเป็นปุถุชนเต็มไปด้วยกิเลส ก็ย่อมจะมีทั้งดีและไม่ดี แม้แต่ตัวเราเองก็เช่นกัน ก็มีทั้งดีทั้งไม่ดี เวลาเราทำผิดทำไม่ดี ก็อยากให้คนอื่นเขาเห็นใจ เข้าใจและให้อภัย แต่เวลาคนอื่นทำผิด ทำไม่ดี เราลืมตรงนี้ไปหรือเปล่า?
ชีวิตไม่ได้ยืนยาวเลย คนที่เราโกรธและเราผู้ที่โกรธเขา ในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสและดับกิเลสได้ในที่สุด ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ