[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 70
นันทนวรรคที่ ๒
๑. นันทนสูตร
ว่าด้วยคําของพระอรหันต์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 70
นันทนวรรคที่ ๒
๑. นันทนสูตร
ว่าด้วยคำของพระอรหันต์
[๒๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[๒๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งแวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร อิ่มเอิบพรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ พวกนางอัปสรบำเรออยู่ในสวนนันทนวันได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
เทวดาเหล่าใดไม่เห็นนันทนวัน อันเป็นที่อยู่ของหมู่นรเทพ สามสิบ ผู้มียศ เทวดาเหล่านั้นย่อมไม่รู้จักความสุข.
[๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เทวดาองค์หนึ่งได้ย้อนกล่าวกะเทวดานั้นด้วยคาถาว่า
ดูก่อนท่านผู้เขลา ท่านย่อมไม่รู้จักคำของพระอรหันต์ทั้งหลายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 71
อรรถกถานันทนสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๑ แห่ง นันทนวรรคต่อไป:-
บทว่า ตตฺร แปลว่า ในพระอารามนั้น.
ศัพท์ว่า โข สักว่าเป็นนิบาตอันสามารถทำพยัญชนะให้สละสลวย.
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ได้แก่ ย่อมให้ภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นบริษัทผู้เลิศทราบ.
บทว่า ภิกฺขโว เป็นบทแสดงถึงอาการที่เรียกภิกษุเหล่านั้นมา.
บทว่า ภทนฺเต เป็นคำทูลรับพระดำรัส.
บทว่า เต ภิกฺขู ความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้มีหน้าเฉพาะซึ่งจะรับพระธรรมเทศนา คือ ภิกษุเหล่านั้น.
บทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ความว่า ภิกษุเหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เป็นผู้มีหน้าเฉพาะ คือ ฟังแล้วทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำเป็นอาทิว่า เรื่องนี้ได้เคยมีมาแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาวติํสกายิกา ได้แก่ เกิดในหมู่ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ท่านเรียกเทวโลกชั้นที่สองว่า ตาวติงสกายะ (แปลว่ามีพวก ๓๓ หรือหมู่นรเทพ ๓๓)
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ได้ยินว่า บัญญัติชื่อว่า ตาวติงสกายะ นี้เกิดขึ้นในเทวโลกนั้น เพราะอาศัยเทวบุตร ๓๓ องค์ อุบัติขึ้นในที่นั้น เพราะทำกาละของชน ๓๓ กับมฆมาณพในบ้านอจลคาม ดังนี้.
ก็เพราะเทวโลกกามาวจร ๖ ชั้น มีอยู่แม้ในจักรวาลที่เหลือ ตามที่ได้ตรัสไว้ว่า มีท้าวจาตุมมหาราชาหนึ่งพันองค์ มีพิภพดาวดึงส์หนึ่งพัน ดังนี้เป็นต้น ฉะนั้น พึงทราบนามบัญญัตินี้ของเทวโลกนั้น ดังนี้.
จริงอยู่ โดยเหตุนี้นั้น บทว่า ตาวติํสกาย จึงไม่ผิดไป.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 72
พึงทราบวิเคราะห์ในบทว่า นนฺทนวเน นี้ว่า ป่านั้น ย่อมยังบุคคลทั้งหลายผู้เข้าไปแล้วๆ ให้เพลิดเพลิน ย่อมให้ยินดี เพราะเหตุนั้น ป่านั้น จึงชื่อว่า นันทนะ แปลว่า ยังบุคคลผู้เข้าไปแล้วให้ยินดี.
จริงอยู่ ครั้นเมื่อมรณนิมิต ๕ อย่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเทวดาทั้งหลายย่อมคร่ำครวญอยู่ว่า พวกเราจักต้องละทิ้งสมบัติจุติไป ดังนี้.
ท้าวสักกะจอมเทพ จะให้โอวาทว่า ท่านทั้งหลายอย่าร่ำไห้เลย ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งหลายมีอันไม่แตกดับไปหามีไม่ ดังนี้ แล้วจึงให้เทวดานั้นเข้าไปสู่สวนนันทนวันนั้น ความเศร้าโศกเพราะมรณะของเทวดานั้นแม้จะถูกเทวดาอื่นประคองแขนไป ก็ย่อมสงบระงับได้ เพราะเห็นสมบัติแห่งสวนนันทนวันนั้น. ความปรีดาปราโมทย์เท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น.
ทีนั้น เมื่อเทวดาทั้งหลายกำลังเล่นอยู่ในสวนนันทนวันนั้นนั่นแหละ (ร่างกาย) ย่อมละลายไปดุจก้อนหิมะที่ถูกเผาด้วยความร้อน และย่อมถูกขจัดไป ดุจเปลวประทีปถูกลมพัดดับไป ฉะนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่ง ย่อมยังเทวดาผู้เข้าไปในภายในแล้ว ให้เพลิดเพลินให้ยินดีนั่นแหละ เพราะเหตุนั้น ที่นั้นจึงชื่อว่า นันทนะ. ในที่นี้ได้แก่ ในสวนนันทนวันนั้น.
บทว่า อจฺฉรา ในบทว่า อจฺฉราสงฺฆปริวุตา นี้เป็นชื่อ เทวธิดา ผู้แวดล้อมในหมู่ของนางอัปสรนั้น.
บทว่า ทิพฺเพหิ ได้แก่ ผู้เกิดในเทวโลก.
บทว่า ปญฺจหิ กามคุเณหิ ได้แก่ ด้วยเครื่องผูก คือ กาม หรือส่วนแห่งกาม ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันเป็นที่รักที่ชอบใจ.
บทว่า สมปฺปิตา คือ เข้าถึงแล้ว.
คำว่าพรั่งพร้อมนอกนี้ก็เป็นไวพจน์ของการเข้าถึงแล้วนั้นแหละ.
บทว่า ปริจาริยมานา ได้แก่ เทวดาทั้งหลายรื่นรมย์อยู่ คือ ยังอินทรีย์ให้รื่นเริงในกามคุณ มีรูปเป็นต้นเหล่านั้น.
บทว่า ตายํ เวลายํ ได้แก่ ในเวลาที่บำเรอนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 73
ก็กาลนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ไม่นานเทวบุตรนั้นก็อุบัติขึ้น.
จริงอยู่อัตภาพของเทวดาที่อุบัติขึ้นนั้นมีประมาณ ๓ คาวุต รุ่งโรจน์อยู่ ราวกะแท่งทองสีแดง เทวบุตรนั้นนุ่งห่มผ้าทิพย์ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ ทัดทรงด้วยดอกไม้ทิพย์ อันนางอัปสรลูบไล้อยู่ด้วยจันทน์และจุณทั้งหลายอันเป็นทิพย์ ถูกปกคลุมแล้ว บดขยี้แล้ว หุ้มห่อแล้วด้วยกามคุณ ๕ อันเป็นทิพย์ ถูกความโลภครอบงำ ไม่เห็นอยู่ซึ่งพระนิพพานอันเป็นที่สลัดออกจากโลก เมื่อกล่าวคาถานี้ว่า น เต สุขํ ปชานนฺติ เป็นต้น ด้วยเสียงอันดังแล้วก็เที่ยวไปในสวนนันทนวัน เป็นเหมือนบุคคลกล่าววาจาหยาบคาย (อันมิใช่เป็นวาจาของสัตบุรุษ) ด้วยเหตุนั้น เทวบุตรนั้น จึงได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้น.
บทว่า เย น ปสฺสนฺติ นนฺทนํ ได้แก่ เทวดาเหล่าใดซึ่งอยู่ในที่นั้นย่อมไม่เห็นนันทนวันด้วยสามารถแห่งการเสวยเบญจกามคุณ.
บทว่า นรเทวานํ ได้แก่ นระผู้เป็นเทพ. คือ บุรุษผู้เป็นเทพ.
บทว่า ติทสานํ แปลว่า สามสิบ (ไตรทศ).
บทว่า ยสสฺสินํ แปลว่า ถึงพร้อมด้วยยศ คือ บริวาร (บริวารยศ).
สองบทว่า อญฺตรา เทวตา ได้แก่ เทวดาผู้เป็นพระอริยสาวิกาองค์หนึ่ง.
บทว่า ปจฺจภาสิ อธิบายว่า เทวดาผู้โง่เขลานี้ ย่อมสำคัญสมบัติ (ของตน) นี้ว่าเป็นของมั่งคั่งเป็นของไม่หวั่นไหว ย่อมไม่ทราบถึงความที่สมบัตินั้น มีการแตกสลายเป็นธรรมดา.
ด้วยเหตุนี้ เทวดาผู้พระอริยสาวิกาผู้ไม่ละความตั้งใจแสดงสภาวะ จึงได้ย้อนกล่าวด้วยคาถานี้ว่า น ตฺวํ พาเล แปลว่า ดูก่อนท่านผู้เขลา.
บทว่า ยถา อรหตํ วโจ อธิบายว่า เมื่อคัดค้านความต้องการของเทวดาผู้โง่เขลาอย่างนี้ว่า ท่านย่อมไม่รู้คำของพระอรหันต์ทั้งหลายโดยแท้จริงดังนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงคำของพระอรหันต์ทั้งหลายจึงกล่าวคำว่า อนิจฺจา เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 74
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา อธิบายว่าสังขารอันเป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วหามีไม่ (เกิดแล้วก็ดับไป).
คำว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ สภาวะที่เกิดขึ้นและเสื่อมไป (มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา).
คำว่า อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ นี้ เป็นไวพจน์ของคำก่อน (คือ อุปฺปาทวย).
อีกอย่างหนึ่ง แปลว่า เพราะเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา.
ก็ในที่นี้ ท่านถือเอาฐานะในลำดับนั้นนั่นแหละด้วยศัพท์อุปปาทะและวยะ.
คำว่า เตสํ วูปสโม สุโข อธิบายว่าพระนิพพาน กล่าวคือ ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสุข.
นี้เป็นคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.
จบอรรถกถานันทนสูตรที่ ๑