เมื่อวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี พระมหาบุรุษผู้ทรงบำเพ็ญ พระบารมียาวนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อถึงความสมบูรณ์ในการเกื้อกูลสัตว์โลก ได้ทรงอุบัติขึ้นในโลกเป็นพระโพธิสัตว์ คือ เจ้าชายสิทธัตถะได้ประสูติที่ลุมพินีวัน ที่ตั้งอยู่ ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ อันเป็นราชอุทยานของกษัตริย์ทั้ง ๒ วงศ์ คือ ศากยวงศ์และโกลิยวงศ์
เจ้าชายสิทธัตถะเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ กรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายาเทวีแห่งโกลิยวงศ์ กรุงเทวทหะ ซึ่งมีพรมแดนติดกัน เมื่อใกล้วันประสูติ พระมารดาเสด็จสู่กรุงเทวทหะเพื่อไปประสูติที่เมืองของตนตามประเพณีนิยม พอเสด็จถึงลุมพินีวัน ซึ่งห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ๒๗ กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทวทหะ ๕๔ กิโลเมตร ก็ประสูติพระโอรส
พระโพธิสัตว์ประสูติด้วยพระวรกายที่สะอาดหมดจด ผุดผ่องดุจแก้วมณี ไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลต่างๆ ทั้งประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ พอประสูติได้ครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนอย่างมั่นคงด้วยพระบาท ๒ ข้าง ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จย่างพระบาทไป ๗ ก้าว ทอดพระเนตรดูทิศต่างๆ แล้วเปล่งอาสภิวาจาอย่างองอาจว่า “เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ เราจักไม่เกิดอีก”
เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติที่ลุมพินีวันแล้ว พระนางสิริมหามายาเทวีก็เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาขนานนาม และทำนายลักษณะ ซึ่งมี ๒ คติ คือ ถ้าอยู่ครองราชย์จะทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือถ้าออกผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก พราหมณ์โกณฑัญญะผู้เดียวที่ทำนายอย่างเดียว ว่า จะเสด็จออกผนวชแน่นอน
เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็สิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ ซึ่งต่อมาก็มีพระโอรสและพระธิดา คือ นันทกุมาร และรูปนันทา
พระราชบิดาทรงต้องการให้อยู่ครองราชย์ จึงทรงบำรุงให้ได้ความสุขในกามคุณทุกอย่าง เมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๗ พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระบัว ๓ สระ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา โปรดให้สร้างปราสาท ๓ หลัง สำหรับประทับ ๓ ฤดู และโปรดให้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา พระโพธิสัตว์มีพระสนม ๔๐,๐๐๐ นาง เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันและกลางคืน
จนพระชนม์ ๒๙ พรรษา ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ อันเทวดาเนรมิตไว้ระหว่างทางที่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน ซึ่งพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทรงพอพระราชหฤทัยในการบรรพชาเพราะทรงเห็นสมณะ โดยเสด็จหนีออกในเวลากลางคืน ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงให้นายฉันนะนำม้าพระที่นั่งกลับคืนพระนคร ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต
เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาแล้ว ทรงหาอุบายที่จะตรัสรู้ ด้วยการศึกษาในสำนักของคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในครั้งนั้น และได้ทรงทดลองในลัทธิต่างๆ ทุกอย่าง ทรงพบว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้ หลังจากที่พระองค์ทรงหลีกจากสำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตรแล้ว ทรงเสด็จไปประทับที่อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เพราะทรงทอดพระเนตรเห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวสด เป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ มีหมู่บ้านที่จะอาศัยเที่ยวบิณฑบาตได้
เขาดงคสิริมีถ้ำที่เป็นสถานที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยาคือทรมานพระกาย ให้ลำบาก ซึ่งเป็นที่นิยมกันในยุคนั้นว่าเป็นกุศลที่วิเศษ อาจจะทำให้ทรงตรัสรู้ได้ พระองค์ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา ทรงผ่อนกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทรงอดพระกระยาหาร จนพระกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระกาย เมื่อทรงลูบพระกาย เส้นพระโลมามีรากอันเน่าหลุดร่วง จากขุมพระโลมา พระกำลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปทางไหนก็ชวนล้ม ทรงบำเพ็ญ ทุกขกิริยานับแต่ทรงผนวชได้ ๖ ปี ทรงพระดำริว่า ไม่มีใครจะทำทุกขกิริยายิ่งกว่า พระองค์ได้อีก คงจะไม่ตรัสรู้ด้วยวิธีนี้ ทรงละความเพียรในการทรมานพระกายให้ ลำบาก ทรงทำความเพียรทางจิตต่อไป ซึ่งจะต้องเสวยอาหารให้มีกำลัง ตั้งแต่นั้น ก็เสวยอาหาร ไม่ทรงอดอีกต่อไป
การบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพระองค์แม้ไม่ได้ผล แต่ก็มีประโยชน์ในการทรงเทศนา สั่งสอนคนในยุคนั้น ที่คิดว่าการทรมานตนจะทำให้หมดกิเลส พระองค์ทรงแสดงในมหาสีหนาทสูตร ซึ่งเป็นการบันลือสีหนาทที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเปล่งวาจาอย่างอาจหาญ เล่าความที่ทรงเคยทดลองปฏิบัติมาแล้วทุกอย่าง ตามที่เข้าใจกันว่าจะตรัสรู้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ การค้านข้อปฏิบัติของสมณพราหมณ์ครั้งนั้น จึงเป็นการค้านอย่างมีเหตุผลยิ่ง
นางสุชาดา เป็นธิดาของนายบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ ในเช้าวันเพ็ญ เดือน ๖ เมื่อ ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราช ได้ทำการบวงสรวงเทวดา ด้วยการหุงข้าวปายาส คือ ข้าวสุกหุงด้วยน้ำนมโคล้วน จัดลงในถาดทองคำ นำไปที่ต้นโพธิ์ใกล้บ้านของนาง ในขณะนั้นหลังจากพระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา (การบำเพ็ญเพียรกล้าที่ยากจะมีใครทำตามได้) ที่เขาดงคสิริ ซึ่งอยู่ห่างจากพระศรีมหาโพธิ์ไปประมาณ ๑๖ กิโลเมตร อยู่เป็นเวลา ๖ ปีแล้ว ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์ได้ จึงทรงละวิธีบำเพ็ญนั้น หันมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ เช้าวันนั้น พระองค์เสด็จไปประทับนั่ง อยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น นางเข้าใจว่าเป็นเทวดา จึงน้อมข้าวปายาสเข้าไปถวาย ในเวลานั้น บาตรของพระองค์หายไป จึงทรงรับข้าวปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์ แล้วทอดพระเนตรดูนาง นางทราบพระอาการจึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป พระโพธิสัตว์ทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา (ท่าสุปติฏฐะ) สรงแล้วเสวยข้าว ปายาสหมดแล้ว ทรงลอยถาดทองไป ถาดนั้นลอยทวนกระแสแม่น้ำ จึงตกลงพระทัยว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้
ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า
ครั้งนั้นแม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงถือถาดทอง เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ที่ริมฝั่งใกล้ท่าน้ำชื่อสุปติฏฐะ สรงสนานแล้ว เสด็จขึ้น ทรงทำข้าวปายาสเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน เสวยข้าวปายาสนั้น แล้วทรงลอยถาดทองนั้นลงไป พร้อมทรงอธิษฐานว่า ถ้าวันนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ขอถาดทองนี้ จงลอยทวนน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ เข้าไปยังภพของพระยานาคชื่อว่า กาฬนาคราช ยกถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ขึ้นแล้วตั้งอยู่ข้างใต้ถาดเหล่านั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายแล้ว ในเวลาเย็น เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปยังแดนมหาโพธิ์ ทรงรับหญ้ากุสะ ๘ กำมือ จากโสตถิยพราหมณ์ แล้วเสด็จตรงไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ทรงปูลาดหญ้ากุสะ ๘ กำมือนั้นลง พลางออกพระโอษฐ์ตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าอาตมะจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอจงบังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์ขึ้น ณ บัดนี้”
ทันใดนั้น รัตนบัลลังก์ก็ได้อุบัติขึ้นด้วยบุญญาธิการของพระองค์ พระองค์จึงเสด็จขึ้น ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์นั้น โดยผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกทางแม่น้ำเนรัญชรา พร้อมกับอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า
“ถึงเลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป จะยังคงเหลืออยู่แต่เพียงหนัง เส้นเอ็นและกระดูก ก็ตามที หากข้าพเจ้ายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจะมิยอม ลุกขึ้นจากรัตนบัลลังก์นี้”
พระโพธิสัตว์ทรงประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้วทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้น ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า "เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรม ที่สิ้นตัณหาแล้ว"
ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเวลารุ่งอรุณพอดี ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี บัดนี้เวลาผ่านไปนานถึง ๒,๖๐๐ ปีที่โลกนี้สว่างไสว ด้วยพุทธานุภาพหลังจากมืดมิดด้วยความไม่รู้มายาวนาน
ครั้นได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์นั้น เสวยวิมุตติสุขสิ้นกาล ๗ วันแล้วพระองค์เสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์มุ่งพระพักตร์ตรงไปทางทิศอีสาน ทันใดนั้นพระรัตนบัลลังก์ก็อันตรธานหายไป และได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปวัตตนสูตร” แก่พระปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันเพ็ญ เดือน ๘ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี จนท่านพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา” แล้วขอบรรพชา ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา จึงเป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลก และในวันนั้นก็เป็นวันที่มีรัตนะครบทั้งสาม คือ ทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
เริ่มตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน ทรงกระทำพุทธกิจเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ด้วยพระมหากรุณาคุณอย่างสูงสุด แต่ละวันพระองค์จะทรงพักผ่อนเพียง ๒ ชั่วโมง เวลาส่วนใหญ่ของพระองค์จะทรงแสดงธรรมให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้เข้าใจพระธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ ทรงโอวาทเนืองๆ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงยังตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้บรรพชาก็เป็นของยาก การฟังพระธรรมก็เป็นของยาก ดังนี้”
หลังจากพระผู้มีพระภาคทรงกระทำพุทธกิจยาวนานถึง ๔๕ พรรษา ก็ทรงปลงพระชนมายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์ กรุงเวสาลีแล้ว
เมื่อเสด็จถึงกรุงปาวา แคว้นมัลละ ได้ประทับอยู่ ณ อัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงรับนิมนต์เสวยพระกระยาหารเช้า ชื่อ สุกรมัททวะที่เรือนของนายจุนทะ แล้วรับสั่งให้ฝังส่วนที่เหลือ ให้หมู่ภิกษุฉันภัตตาหารชนิดอื่น หลังจากเสวยแล้ว เกิดอาพาธอย่างแรงด้วยโรคโลหิตปักขันทิกาพาธ มีเวทนากล้าจวนจะปรินิพพาน แต่ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาไว้ได้
พระผู้มีพระภาคเสด็จผ่านแม่น้ำกกุธานที ให้พระจุนทกะปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้นแล้ว เสด็จสีหไสยาสน์โดยตั้งพระทัยว่าจะลุกขึ้น รับสั่งกับท่านพระอานนท์เรื่องอาหาร ที่นางสุชาดาถวายก่อนตรัสรู้และนายจุนทะถวายก่อนปรินิพพานว่า มีอานิสงส์เสมอกัน แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญวดีไปสู่สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา สำเร็จอนุฏฐานไสยา คือ นอนโดยจะไม่ลุกขึ้นอีก ระหว่างไม้สาละคู่ โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ตรัสปัจฉิมวาจาว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
บัดนี้ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว มีแต่พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงมอบให้เป็นมรดก ก็มีความอุ่นใจขึ้น ว่า จะสามารถเห็นแสงสว่างในความมืดมิดนี้ได้ เพราะพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนพระจันทร์เพ็ญ พระธรรมเปรียบเหมือนกลุ่มรัศมีของพระจันทร์ พระสงฆ์เปรียบเหมือนโลกที่เอิบอิ่มด้วยรัศมีของพระจันทร์เพ็ญที่ทำให้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ พระธรรมดังกล่าวเปรียบเหมือนข่ายรัศมีของดวงอาทิตย์ นั้น พระสงฆ์เปรียบเหมือนโลกที่ดวงอาทิตย์นั้นกำจัดมืดแล้ว และเกิดความมั่นใจว่า ไม่ใช่คนยากไร้ขัดสน เพราะพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนบิดามอบมรดกโดยธรรม พระธรรมเปรียบเหมือนมรดก พระสงฆ์ผู้สืบมรดกคือพระสัทธรรม เปรียบเหมือนพวกบุตร ผู้สืบมรดก
ในวาระครบรอบ ๒,๖๐๐ ปีที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราจึงสมควรบูชาพระองค์ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาซึ่งเป็นการบูชาอย่างสูงสุด ด้วยการศึกษาพระธรรมที่ทรงมอบให้เป็นมรดก จนทำให้มรดกที่ได้รับมอบนั้นเกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยการฟังด้วยดีจนเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ความเข้าใจนั้นเอง คือปัญญาที่ทำกิจระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง จนประจักษ์แจ้งว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลย ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว พระธรรมก็จะอันตรธานจากใจของผู้นั้นก่อนเวลา ๕,๐๐๐ ปีที่พระสัทธรรมจะอันตรธาน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะทรงเตือนไว้แล้วว่า การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้ฟังพระธรรมก็เป็นของยาก เมื่อกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตทำให้ประจวบกับสิ่งที่เกิดได้ยากเหล่านี้แล้ว ถ้ายังปล่อยให้ขณะผ่านไปอีก ก็เป็นสิ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
"...การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้ฟังพระธรรมก็เป็นของยาก
เมื่อกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตทำให้ประจวบกับสิ่งที่เกิดได้ยากเหล่านี้แล้ว ถ้ายังปล่อยให้ขณะผ่านไปอีก ก็เป็นสิ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง..."
กราบอนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลวิริยะ ของพี่แดงด้วยครับ
เป็นบทความที่ไพเราะยิ่ง อ่านแล้วเกิดความซาบซึ้ง ในพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอกราบอนุโมทนากุศลวิริยะของ ป้าแดงด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงและทุกท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว พระธรรมก็จะอันตรธานจากใจของผู้นั้น"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงด้วยค่ะ
ขอกราบเท้าบูชาคุณอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ