รบกวนถามท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ ว่าในคืนวันตรัสรู้ที่พระพุทธองค์ชนะมาร นั้น มารดังกล่าวแท้จริงแล้ว คือ พญามารที่เป็นเทวดา บนกามสวรรค์ชั้นสูงสุด หรือ คือ กิเลสมาร กันแน่ครับ หรือว่าชนะทั้งสองอย่าง
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ บุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก พระองค์ ทรงเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง (อรหันต์) ทรงตรัสรู้โดยชอบได้โดยพระองค์เอง (สัมมาสัมพุทธะ) ในวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น พระองค์เสด็จไปที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต (ยังไม่ตกดิน) พระองค์ทรงชนะมาร คือ เทวปุตตมารซึ่งเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสสวัตตี ที่มารังควานพระองค์ ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ที่จะเสด็จมาประทับนั่งที่โพธิบัลลังก์ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์เคลื่อนจากฐานะนี้ได้ แต่ในขณะนั้นยังไม่ทรงตรัสรู้ จนกระทั่งถึงเวลาใกล้รุ่งของวันนั้น (วันเพ็ญเดือน ๖) พระองค์ก็ได้ทรงตรัสรู้ ชนะมารคือกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น กิเลสทั้งหลายไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก ชาตินั้นเป็นชาติสุดท้ายสำหรับพระองค์ ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป สำหรับเรื่องมารนั้น มีรายละเอียดที่หลากหลายมาก ถ้าจะกล่าวโดยประมวลแล้ว วัฏฏะ เป็นมาร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชนะมาร คือ วัฏฏะทั้งสิ้นแล้ว พระองค์ทรงค้นพบนายช่างผู้สร้างเรือนคือโลภะได้แล้ว ทรงดับโลภะได้อย่างหมดสิ้น ไม่เป็นเหตุให้พระองค์ต้องเกิดในภพใหม่อีกต่อไป
ดังนั้น ในวันก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้นั้น ทรงชนะมารที่เป็นเทวปุตตมาร แต่ที่จะทรงชนะมารคือกิเลสได้ ก็ในขณะที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ในเวลาใกลุ้รุ่งของวันเพ็ญเดือน ๖
สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น คือ อริยสัจจ์ ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และ หนทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกประการ พระองค์ทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง เมื่อทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ จึงทรงแสดงพระธรรม ประกาศพระศาสนาแก่สัตว์โลก ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามระดับขั้นของความเข้าใจของแต่ละบุคคล สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์มีเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้ก็ตรัสรู้ความจริง คือ สัจจะทั้ง ๔ ประการนั้น แต่ไม่ได้ตรัสรู้เองเหมือนอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ฟังความจริงที่พระองค์ทรงแสดงจึงสามารถตรัสรู้ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า สัจจะ คือ สิ่งที่มีจริงเหล่านี้ ทำให้บุคคลผู้รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยะได้ เมื่อเห็นอริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง ก็จะเป็นเหตุให้ไม่ต้องวนเวียนไปในวัฏฏะ อีกต่อไป ครับ.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
มหาพุทธชยันตี
วันพิเศษคือวันวิสาขบูชา
พระสูตรเรื่องปฐมโพธิกาล ... วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๕
พญามารมีจริงหรือสมมติขึ้น
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในวันวิสาขบูชา คือ วันที่พระจันทร์เสวย วิสาขฤกษ์ ตามจันทรคตินั้น ในคืนก่อน วันตรัสรู้ คือ วัน ๑๔ ค่ำเดือน ๖ พระโพธิสัตว์ทรงพระสุบิน อันเป็นนิมิตหมายว่า พระองค์จะทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา พระโพธิสัตว์เมื่อตื่นจากบรรทมรู้ได้ทันทีว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้ในวันนี้เป็นแน่ เมื่อเวลาเช้า พระองค์เสด็จไปประทับนั่งที่โคนต้นไทร ทำให้ต้นไทรสว่างไสวด้วย วรรณะดุจทองของพระโพธิสัตว์
นางสุชาดา จะทำพลีกรรมกับเทวดาที่ต้นไทรนั้น เพราะ ได้สมความปราถนา คือ ได้บุตรชาย และได้สามีที่เสมอกับตระกูลของตน นางปุณณทาสี เห็น พระโพธิสัตว์ ประทับนั่งที่โคนต้นไทร สำคัญว่าเป็นเทวดา บอกกับนางสุชาดา นางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาส ในเช้าวันนี้ พระโพธิสัตว์ ปั้นข้าว ๔๙ ก้อน เสวยจนหมด เพียงพอให้ได้อยู่โดยไม่เสวยอีกหลังจากตรัสรู้ เป็นเวลา ๔๙ วัน ๗ สัปดาห์ เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ได้นำถาดทอง ไปที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา อธิษฐานลอยถาด ตกเย็น พระโพธิสัตว์มุ่งหน้าไปที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ระหว่างทาง พบ โสตถิยะพรหามณ์ ได้มอบหญ้า ๘ กำ ถวายพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เอาหญ้าวางบนโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ เกิดรัตนบัลลังก์ พระองค์ทรงอธิษฐานความเพียร มีองค์ ๔ คือ แม้ เลือด เนื้อ เอ็น กระดูก จะเหือดแห้งไปก็ตาม หากยังไม่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้ และ เวลาเย็นนั้นเอง เทวดาทั้งหลายทุกๆ จักรวาล ท้าวสักกะ และเทวดาอื่นๆ รวมทั้งพรหมทั้งหลาย ก็มากัน ดูพระโพธิสัตว์ นั่งบำเพ็ญเพียร และกล่าวสรรเสริญคุณ ณ ที่นั้น เมื่อยังไม่ค่ำนั้นเอง เวลาเย็น พญามาร ที่เป็นเทวปุตตมาร ผู้เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ชั้น ๖ ได้มาพร้อมกับเหล่าเสนามารมากมาย เทวดาทั้งหลายและพรหม ต่างก็หนีเกรงกลัวในฤทธิ์ของพญามาร ชื่อ วัสวัตตีมาร ผู้เป็นเทวปุตตมาร
พญามาร หวังให้ ความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ไม่สำเร็จ ได้ ใช้ฤทธิ์ประการต่างๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรพระโพธิสัตว์ได้เลย พญามารกล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า บัลลังก์นี้ เป็นบัลลังก์ของเรา ท่านจงลุกขึ้น พระโพธิสัตว์ ตรัสกับพญามารว่า ใครเป็นพยานของท่านในที่นี้ ในเรื่องนี้ พญามารกล่าวว่า เหล่าเสนามารของเราไง และได้เปล่งเสียงร้องความเป็นพยานร่วมกัน พระโพธิสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ของเรา เพราะเราได้บำเพ็ญกุศลธรรม บารมีต่างๆ มาเพื่อตรัสรู้ ณ ที่ บัลลังก์นี้ พญามารกล่าวว่า ใครเป็นพยานของท่าน พระโพธิสัตว์ คิดด้วยหทัย นึกในจว่า เราไม่มีใครเป็นพยาน ในที่นี้เลย จึงได้กล่าวกับพญามารว่า แผ่นดินนี้เอง เป็นพยาน เพราะ เมื่อเราบำเพ็ญ บารมีอยู่ แผ่นดินไหวได้ไหว นับไม่ถ้วน มีการให้กัณหา ชาลี แล้วแผ่นดินไหว เป็นต้น แล้วพระองค์ได้ชี้นิ้วลงที่แผ่นดิน แผ่นดิน เกิดความหวั่นไหว ช้างทรงของพญามารได้ ทรุดตัวลง และเหล่าเสนามารก็กระจัดกระจายไป เพราะอำนาจของแผ่นดินที่ไหว ไม่ได้มีการให้พระแม่ธรณีบีบมวยผม ให้น้ำท่วมทำลายเหล่ามารทั้งหลายตามที่เข้าใจกัน ครับ ด้วยเหตุนั้น พญามารและมารทั้งหลาย ก็พ่ายแพ้ไปเมื่อเวลาเย็น ครับ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ แม้ยังไม่ตรัสรู้ แต่ เวลาเย็นของคืนวันที่จะตรัสรู้ ได้ชนะเหล่ามาร มีเทวปุตตมาร ครับ
เมื่อปฐมยาม ทรงระลึกชาติได้นับชาติไม่ถ้วน แต่การระลึกชาติได้ ยังไม่สามารถชนะกิเลสได้ เพียงแต่เป็นการเจริญสมถภาวนา ได้ฌานที่เพียงระงับกิเลส เมื่อมัชฌิมยาม ทรงเห็น การจุติของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่สามารถละกิเลสได้ ยังไม่ได้ตรัสรู้และชนะกิเลส จนปัจฉิมยามแห่งราตรี คืนท้ายของวันวิสาขบูขา พระโพธิสัตว์ พิจารณาความเป็นปัจจัยของสภาพธรรม คือ ปฏิจจสมุปบาท และ เจริญวิปัสสนา คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ จนสามารถละกิเลสจนหมดสิ้น และได้ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนรุ่งเช้า ครับ เป็นอันนว่า ในยามท้าย ก่อนใกล้รุ่ง ทรงชนะกิเลสมารด้วย ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงชนะ อภิสังขารมาร คือ มาร คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นไปในกุศล อกุศล เพราะ พระองค์ดับกิเลสแล้ว เจตนาเจตสิก ของพระองค์จึงเกิดกับกิริยาจิต และ วิบากจิต ไม่เป็นอภิสังขาร ที่ปรุงแต่งให้เป็นกุศล อกุศล เลย ครับ และ ทรงชนะ ขันธมารได้ในอนาคตข้างหน้า ที่จะไม่ต้องมีการเกิดขึ้น ของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป คือ ขันธ์อีกต่อไป อันมีเหตุจากการตรัสรู้ในวันนี้ และ ทรงละ มัจจุมาร คือ ความตายได้ เพราะ ในอนาคตพระองค์จะไม่ต้องตาย เพราะ ไม่ต้องเกิด อันมีเหตุมาจากการตรัสรู้ ดับกิเลสในคืนวันวิสาขบูชา
เท่ากับว่า ในวันวิสาขบูชา พระองค์ไม่ใช่เพียงชนะกิเลสมารและเทวปุตตมารเท่านั้น แต่ พระองค์ทรงชนะ มาร คือ กิเลสมารได้ด้วย และ ชนะเทวปุตตมารได้ด้วย และ ชนะอภิสังขารมารได้ด้วย และ จะชนะ มัจจุมาร และ ขันธมารได้ในอนาคต อันมีการตรัสรู้ ในวันวิสาขบูชา เป็นเหตุ ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
กิเลส ๔๙ และมารทั้ง ๕ คืออะไร พระพุทธเจ้าปราบกิเลสและมารได้อย่างไร
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิต ท่านผู้รู้ทุกท่านที่ช่วยให้ความรู้ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอถวายความนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ขอบพระคุณอาจารย์ทั้ง 2 ท่านและยินดีในกุศลทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ