ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๐
โดย khampan.a  26 ธ.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 41801

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๐ * *




~ คำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้โลกซึ่งมืดด้วยความไม่รู้ ได้เข้าใจความจริงทั้งหมดทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์สำหรับศึกษาสำหรับฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะลึกซึ้ง ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน
~ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะทำ อย่างบุตรก็มีหน้าที่ต่อมารดาบิดา ปรนนิบัติท่านทุกประการ พระศาสนามีพระธรรมเป็นพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องดูแลอย่างดีไหม ต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่งไหม? ต้องช่วยกันทะนุบำรุงและให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่พระองค์ได้ทรงพระมหากรุณาบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแต่ละคนที่สะสมมาที่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ใครไม่ทำ เราก็ทำ ถ้าทุกคนเห็นอย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ พระศาสนาก็จะดำรงอยู่ต่อไปได้

~ ที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าทั้งหมดนี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ต้องไปหาที่อื่น ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ ในชีวิตประจำวันถ้าสามารถที่จะระลึกได้ ก็จะรู้ได้ว่าขณะนั้นมีความเข้าใจคำสอนมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าเข้าใจมากขึ้น การประพฤติเป็นไปทางกายวาจาก็เป็นไปในทางที่ดีงามเพิ่มขึ้น
~ ชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความเข้าใจธรรม มีแค่ไหน เพราะเหตุว่า ถ้ายังร้ายเหมือนเดิม แล้วประโยชน์ที่ได้ฟังพระธรรมมีบ้างไหม แต่ว่าเคยร้าย แต่พอระลึกถึงพระธรรมเท่านั้น ขณะนั้น ละ แม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีหรือไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป
~ คำจริง เป็นคำที่แสดงความเป็นเพื่อนที่ดี แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตร ไม่มีใครเป็นมิตรที่ดียิ่งกว่าพระองค์ เพราะฉะนั้น คำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ควรที่จะได้ศึกษาอย่างยิ่ง ให้เข้าใจชัดเจนด้วยความไม่ประมาท เพื่อดำรงรักษาคำของพระองค์ สิ่งใดที่ผิดไปแล้วปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าผิด ตราบใดที่ปัญญายังไม่เกิดก็หลงเข้าใจว่าสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูก
~ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามีแล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม? ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรติดตามไปสักอย่าง ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นของเราก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วนี่หรือจะเป็นของเรา เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ
~ เราเป็นคนมีโลภะ เห็นอะไรก็อยากได้ พอเราเป็นคนมีโทสะ สะสมความไม่ชอบ พอเห็นคนนี้เราก็ไม่ชอบ เห็นคนนั้นเราก็ไม่ชอบ เห็นคนโน้นเราก็ไม่ชอบ เพราะเราสะสมโทสะ เป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น มีเรื่องต้องขัดเกลามาก เกิดมาแล้วได้ขัดไปหน่อยก็ยังดี แล้วก็เจริญปัญญาขึ้นทุกภพทุกชาติ
~ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นของใครไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องเกิดอีก ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของความไม่ดี ชาตินี้ก็เป็นคนดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ ด้วยการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
~ ฟังพระธรรมทำไม? เพราะรู้ว่า ธรรม (สิ่งที่มีจริง) มีจริง ก็รู้ยาก ถ้าไม่มีการฟัง จะรู้ได้อย่างไร ต้องฟังมาก กว่าจะค่อยๆ เห็นจริงว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง
~ สภาพธรรมที่ดี ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่เลวก็ไม่ได้ สภาพธรรมที่ชั่ว ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่ดี ไม่ได้ โลภะ ความต้องการ ความติดข้อง ไม่เปลี่ยนลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล อโลภะสภาพที่สละความติดข้องความต้องการ เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนลักษณะของสภาพอโลภเจตสิกให้เป็นอย่างอื่น ก็เปลี่ยนไม่ได้ จะใช้ชื่อเรียกอะไรก็ตาม แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นยังเป็นสภาพธรรมนั้นที่ไม่เปลี่ยน
~ ถ้าทุกท่านที่ศึกษาธรรมแล้ว ไม่ช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก หรือการพิจารณาธรรมที่จะเกิดการแทงตลอดในสภาพธรรมอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะเป็นอย่างไร ก็ต้องหมดไป ก็ต้องสูญไป เพราะฉะนั้น แต่ละท่านซึ่งได้เป็นผู้ที่ได้ศึกษาแล้ว แล้วก็เป็นผู้ที่เข้าใจความละเอียด ความลึกซึ้งของพระธรรมแล้ว ก็ควรที่จะได้ประกาศ ช่วยกันเจริญกุศล เกื้อกูล สนทนากัน เพิ่มพูนความรู้กัน เพื่อที่จะได้ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว แล้วก็จะได้ประโยชน์กับบุคคลอื่นต่อไปด้วย
~ ในขณะที่กุศลค่อยๆ สะสมเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อกุศลที่ยังไม่ได้ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังขัดเกลากิเลสจึงเห็นกิเลส แล้วก็ขัดเกลากิเลส แล้วก็เห็นกิเลส แล้วก็ขัดเกลากิเลส ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
~ ผู้ที่เป็นสาวก ไม่ได้ฟังธรรมครั้งเดียว แม้แต่จะอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ได้ยิน ได้ฟังพระธรรม ตอนบ่ายหรือตอนไหน ก็ได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าถึงเวลาที่ชาวเมืองสาวัตถีมาเฝ้า ได้ฟังธรรม ก็ไม่พอ เพราะฉะนั้น ก็ฟังแล้ว ฟังอีก แล้วเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปที่อื่น พระภิกษุเหล่านั้นก็ติดตามไปเพื่อฟัง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการฟังและไม่มีการพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงตามที่ได้ทรงตรัสรู้ ได้ไหม?
~ เมื่อผิด ต้องแก้ ถ้าปล่อยไป ก็ไม่มีวันที่จะถูกได้ และอีกประการหนึ่ง ก็คือว่า คำว่าสายเกินไป หมายความว่า เดี๋ยวนี้ไม่ทำ เพราะฉะนั้น ถ้าเริ่มทำเดี๋ยวนี้ ก็จะไม่สายเกินไป ถ้าทุกคนเห็นประโยชน์จริงๆ และร่วมแรงร่วมใจ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในการที่เราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ หมายความว่า ต้องศึกษาให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คิดเองแล้วก็ทำลายคำสอนของพระองค์ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญา ใครเริ่มเดี๋ยวนี้ คือ ผู้ที่มีปัญญา ที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดแก้ได้ เมื่อแก้ เดี๋ยวนี้ เริ่มเลย
~ ทุกคนที่เข้าใจว่านับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะรู้ความสำคัญว่าไม่ใช่เพียงกล่าวหรือคิดว่าตนเองนับถือ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลด้วยว่า นับถือ เพราะได้เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วโดยละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ซึ่งถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็เห็นกันอยู่ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้วปัญญาที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้วจะนำชีวิตไปสู่ในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ แค่คำว่า "ไม่มีอะไร" เคยมีอยู่ในใจบ้างไหม เคยมีคนนั้น คนนี้ มีสิ่งต่างๆ แต่ความจริง ไม่มีอะไรจริงหรือเปล่า? เพราะจากไม่มี แล้วก็เกิด เพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลืออะไรเลย ทุกขณะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะที่ดับไป ก็ไม่มีอะไร เพียงแค่เกิดมาปรากฏแล้วก็หมดไป
~ "ติดข้อง ในสิ่งที่ไม่มี" ประโยคนี้ จำไว้ได้เลยทุกชาติไป จะได้ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย ถ้าไม่มีประโยคนี้ ก็ติด คิดว่ามีอยู่ตลอด
~ เมื่อเกิดมาแล้วชั่วคราวชั่วขณะ แต่ละขณะ แต่ละวัน จนกระทั่งในที่สุด ทุกอย่าง หมดแล้ว ไม่เหลือ แล้วก็จากโลกนี้ไป เกิดมา เห็น เกิดมาได้ยิน สนุกสนาน สุข ทุกข์ แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้น การที่จะมีสาระในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง นอกจากได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ เข้าใจเมื่อไหร่ ก็เห็นพระคุณเมื่อนั้น
~ พระธรรม ทำให้บุคคลที่ไม่เคยเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง เริ่มมีความเข้าใจขึ้น เมื่อเห็นโทษของอกุศล ก็ละบาป ไม่พอ เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่ไม่เจริญกุศลหรือจิตไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น จึงต้องทำความดีด้วย แล้วก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์เมื่อมีความเข้าใจธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จิตจะบริสุทธิ์ได้
~ ไม่ขาดการอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจขึ้น เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะไม่รู้เลยว่า ต่อจากชาตินี้แล้วมีโอกาสจะได้เข้าใจได้ยินได้ฟังคำที่เคยได้ยินมาบ้างแล้วจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สะสมสิ่งที่ประเสริฐสุดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือความเห็นถูกความเข้าใจถูก
~ ชีวิตของบุคคลผู้ที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก จะคิดทำแต่สิ่งที่ดีงาม



* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๙



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย Sea  วันที่ 26 ธ.ค. 2564

"ติดข้อง ในสิ่งที่ไม่มี" ประโยคนี้ จำไว้ได้เลยทุกชาติไป จะได้ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย ถ้าไม่มีประโยคนี้ ก็ติด คิดว่ามีอยู่ตลอด


กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 26 ธ.ค. 2564

ชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความเข้าใจธรรม มีแค่ไหน เพราะเหตุว่า ถ้ายังร้ายเหมือนเดิม แล้วประโยชน์ที่ได้ฟังพระธรรมมีบ้างไหม แต่ว่าเคยร้าย แต่พอระลึกถึงพระธรรมเท่านั้น ขณะนั้น ละ แม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีหรือไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย Jans  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Boonsanong  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

น้อมกราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ในสื่อเผยแพร่สะกิดชี้พระธรรม ให้ค่อยๆ เข้าใจพระธรรมสะสมจิตขั้นการฟังอันงามประเสริฐนี้ด้วยครับท่าน อาจารย์ น้อมกราบขอบพระคุณมากมายยิ่งครับผม !!!


ความคิดเห็น 7    โดย petsin.90  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ธ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ