[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้า ๖๐๘
อิริยาปถบรรพ
(๑๓๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ ด้วยเหตุดังพรรณามาฉะนี้ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่.
จบ อิริยาปถบรรพ
ขณะใดที่เห็นผิด เพราะจำผิดว่าเป็นตัวตนของเรา ยังเป็นแข็งที่ขาของเรา ยังเป็นเย็นที่มือของเรา ขณะนี้ที่ยืนอยู่ จำผิดว่าเป็นเรากำลังยืน ยังจำอยู่ว่าเป็นแขน เป็นขา เป็นมือ ของเรา ขณะนั้นยังไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ความคิด ที่จำว่ามีแข็ง แต่ก็ยังเป็น "แข็ง" ที่ขา หรือ ที่มือ ขณะนั้นยังจำผิดว่ามีเรา เป็นก้อน เป็นกลุ่มอยู่ ต่อเมื่อสภาพธรรมอื่นๆ ไม่ปรากฏเลย มีเพียงแต่ละโลกเท่านั้นที่ปรากฏ โลกทางตา โลกทางหู ... และโลกทางใจ โลกทางตามีเพียงสีเท่านั้น นี่คือ การรู้ลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละโลก ตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนาค่ะ
เพิกอิริยาบถ คือ ขณะที่รู้ลักษณะธรรมที่ปรากฏทีละอย่างที่กาย ไม่มีท่านั่ง ไม่มีท่ายืน ไม่มีท่าเดิน ไม่มีท่านอน เป็นแต่เพียงอาการของรูปที่ประชุมรวมกันที่กายให้รู้และจำได้เป็นท่าทางต่างๆ ขณะที่นั่งมีอะไรที่เป็นสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฎที่กาย แข็งที่กายไม่ใช่ท่านั่ง แข็งเป็นแข็ง แม้เห็นขณะนี้เองก็ไม่มีท่านั่ง ถ้าสติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะธรรมที่กำลังปรากฏ อิริยาบถไม่มี
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
แม้เห็นขณะนี้เองก็ไม่มีท่านั่ง ถ้าสติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะธรรมที่กำลังปรากฏ อิริยาบถไม่มี
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ. kulwilai ด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เพิ่งจะเข้าใจอย่างชัดเจน กับลักษณะสภาพธรรม ของคำว่า เพิกอิริยาบถ
แม้ขณะเห็นนี้เองก็ไม่มีท่านั่ง ถ้าสติสัมปชัญญะรู้ตรง ลักษณะธรรมที่กำลัง ปรากฏ อิริยาบถไม่มี
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.กุลวิไล ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ