เมื่อมีการกระทำ หรือ การพูด ที่ทำให้เกิดความรู้สึกไปในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และ ผู้ที่เผยแพร่คำสอนของพระองค์ เช่น กล่าววิจารณ์ กล่าวหา กล่าวบิดเบือน ฯลฯ ทั้งที่มีเจตนา ไม่มีเจตนา และ ไม่สามารถรู้ได้ ว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอน บริษัท ๔ ว่า ควรพิจารณา และ กระทำอะไรหรือไม่ อย่างไร อะไร ที่ทรงสรรเสริญ อะไร ที่ทรงติเตียน กรุณายกตัวอย่างในข้อความในพระไตรปิฎก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนในพรหมชาลสูตร สำหรับผู้ที่ติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และชม สรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ดังนี้ครับ ตามข้อความในพระไตรปิฎก
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 3
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม หรือติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรทำความอาฆาต โทมนัส แค้นใจในคนเหล่านั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายคนเหล่าอื่นพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ก็ตาม ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักน้อยใจในคนเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น อันตรายพึงมีแก่เธอทั้งหลายนี่แหละ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม หรือติพระสงฆ์ ก็ตาม ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้คำที่เป็นสุภาษิต ของคนเหล่าอื่นได้ละหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นพึงกล่าว ติเรา ติพระธรรม หรือติพระสงฆ์ ก็ตาม ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า นั่นไม่จริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้แม้เพราะเหตุนี้ แม้ข้อนั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลายและในเราทั้งหลายก็ไม่มีข้อนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมหรือชมพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรทำความเพลิดเพลินดีใจ เบิกบานใจในคำชมนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ก็ตาม ถ้าเธอทั้งหลายจักเพลิดเพลิน ดีใจ เบิกบานใจในคำชมนั้น ด้วยเหตุนั้น อันตรายพึงมีแก่เธอทั้งหลายนี่แหละ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมหรือชมพระสงฆ์ก็ตาม ในคำที่เขากล่าวชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ แม้ข้อนั่นก็มีในเราทั้งหลาย และในเราทั้งหลายก็มีข้อนั้น.
ซึ่งขออธิบายข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้ครับ ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า
พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ เดินทางไกล ระหว่าง เมืองราชคฤห์ ไป นาลันทาโดยมี สุปปิยปริพาชก และ พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ เดินตามมาข้างหลัง ขณะนั้นสุปปิยปริพาชก กล่าวติเตียน พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ส่วน พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ ได้ยินอาจารย์กล่าวติเตียนพระรัตนตรัย คิดด้วยความแยบคาย จึงกล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้อยคำทั้งสองคน ต่างเป็นข้าศึกกัน ภิกษุสงฆ์ที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ได้ยินถ้อยคำทั้งสองคน เมื่อแวะระหว่างทางแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็สนทนาในเรื่องที่ คนทั้งสอง ต่างพูดต่างกัน ทั้งที่เป็นอาจารย์และเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ได้แสดงธรรมกับภิกษุทั้งหลายว่า ไม่ว่าใครก็ตาม กล่าวติเตียนเรา คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เธอทั้งหลาย ไม่ควรโกรธ ขุ่นเคืองใจน้อยใจ เพราะคำ ติเตียนนั้น พระองค์ตรัสว่า ขณะที่พวกเธอโกรธ ขณะนั้น เธอทั้งหลายจะเข้าใจคำสุภาษิต หรือ ธรรมในขณะนั้นได้หรือไม่ ไม่ได้แน่นอน เพราะ ขณะที่โกรธขณะนั้น เป็นอกุศล แต่เมื่อใครกล่าว ติเตียน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เธอควรแก้โดยธรรม ว่า ไม่จริง ไม่จริงอย่างไร ด้วยจิตที่ดี
ส่วนใครก็ตามที่ชมเรา สรรเสริญ พระรัตนตรัย มี พรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ของสุปปิยปริพาชก เป็นต้น เธอทั้งหลาย ไม่ควรทำใจยินดี เพลิดเพลินในคำชมนั้นเพราะ จะเป็นอันตรายกับเธอ เพราะขณะนั้น เป็นโลภะ ขณะที่โลภะเกิด ย่อม ไม่เป็นประโยชน์กับผู้นั้น และย่อมไม่เข้าใจธรรมในขณะนั้น ครับ แต่เมื่อใครชม สรรเสริญพระรัตนตรัย เธอควรกล่าวว่า สิ่งนั้นจริง จริงเพราะอะไร เป็นต้น ด้วยจิตที่ดี คือ ไม่ว่าใครจะชม หรือ ติ พระรัตนตรัย ก็ไม่โกรธ และ ไม่ยินดีด้วยโลภะ แต่ควรที่จะแสดงธรรมว่า ไม่จริงเพราะอะไร จริงเพราะอะไร นี่คือ ประโยชน์ที่สำคัญ คือ ได้ความเข้าใจพระธรรมในการแสดง และทำให้ผู้อื่น ที่กล่าวชมและติ ได้เข้าใจธรรมด้วยเพราะประโยชน์ จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า คือ ให้สัตว์โลกเกิดกุศล เกิดปัญญา ไม่ใช่ให้เกิด อกุศล ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยพระองค์เอง แล้วทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกให้รู้ตาม จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ก็จะค่อยๆ รู้ขึ้น จากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้วกล่าวคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์สำหรับบุคคลที่ตั้งใจจะรับฟัง คงจะห้ามความคิดและการกระทำในทางที่ไม่ดีของบุคคลอื่นที่มีต่อพระรัตนตรัยไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว มีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย สามารถที่จะเกื้อกูลผู้อื่น ให้เข้าใจถูกเห็นถูก ตรงตามพระธรรม ไม่ให้หลงผิด หรือ ไม่ให้คล้อยตามในความประพฤติที่ผิดของบุคคลอื่นได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ