เรื่องของกิเลส บุคคล ๔ พวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
โดย สารธรรม  21 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 44078

ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อนังคณสูตร มีข้อความว่า

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า

บุคคล ๔ พวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ

บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน

อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน

บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน

อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน

บุคคลพวกที่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัดตามเป็นจริงว่ามีกิเลส บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม

บุคคลพวกที่มีกิเลส แต่รู้ตามเป็นจริงว่ามีกิเลส บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษประเสริฐ

บุคคลไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าเราไม่มีกิเลสในภายใน บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม

บุคคลไม่มีกิเลส แต่รู้ชัดตามเป็นจริงว่าไม่มีกิเลสในภายใน บัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ประเสริฐ

บุคคลที่ ๑ บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่าเรามีกิเลสในภายใน สำหรับผู้ที่ไม่เจริญสติ คนที่มีกิเลสจะรู้ว่าตนเองมีกิเลสก็ต่อเมื่อมีสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ก็จะยิ่งเห็นตนเองนี้ชัดขึ้นว่า มีกิเลสมากมายเหลือเกิน ที่จะต้องชำระขัดออกด้วยการเจริญสติ ด้วยปัญญาที่รู้ชัดเพิ่มขึ้น มากขึ้น จึงจะละคลายได้

คนมีกิเลส แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่ามีกิเลส ก็ไม่ปรารภความเพียรเพื่อละกิเลส อุปมาภาชนะสัมฤทธิ์ที่ละอองและสนิมจับอยู่โดยรอบ เจ้าของไม่ใช้ และไม่ขัด และยังเก็บไว้ในที่ที่มีละออง สนิมก็จับยิ่งขึ้น จักเป็นผู้มีจิตเศร้าหมองทำกาละ

เป็นของธรรมดาของคนที่มีกิเลส แล้วไม่ขัดเกลาด้วยการเจริญสติ ก็ยิ่งสะสมเศร้าหมองยิ่งขึ้น เป็นผู้มีจิตเศร้าหมองทำกาละ

บุคคลที่ ๒ เป็นบุคคลที่มีกิเลส แต่รู้ตามเป็นจริงว่ามีกิเลส บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษประเสริฐ

ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานถูกต้องตามความเป็นจริง บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษประเสริฐ ประเสริฐเพราะรู้ เพราะเจริญสติ เพราะรู้ชัดตามความเป็นจริงตามปกติ เพื่อละการยึดถือว่าเป็นตัวตน

คนมีกิเลส แต่รู้ชัดตามเป็นจริงว่ามีกิเลส เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ที่ ละอองและสนิมจับ เจ้าของใช้ขัดสี และไม่เก็บไว้ในที่มีละออง สมัยอื่นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นจะพึงเป็นของหมดจดผ่องใส จะปรารภความเพียรละกิเลส มีจิตไม่เศร้าหมองทำกาละ

นี่เป็นผู้ที่ขัดอยู่เสมอ และเป็นผู้รู้ด้วยว่า มีกิเลสอยู่ตรงไหน ก็ขัดได้ถูกต้อง เพราะเหตุว่าผู้ที่เจริญสติ เมื่อเจริญสติแล้วย่อมมีสมัยที่ภาชนะสัมฤทธิ์นั้นจะพึงเป็นของหมดจดผ่องใส แล้วจิตไม่เศร้าหมองทำกาละ

บุคคลที่ ๓ คือ บุคคลที่ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัดตามเป็นจริงว่าไม่มีกิเลสในภายใน บัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เลวทราม

ทั้งๆ ที่ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัด บัณฑิตก็กล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม ถ้าไม่เจริญ สติปัฏฐานก็ไม่เข้าใจในพยัญชนะนี้อีกเหมือนกัน เป็นคนที่ไม่มีกิเลสควรจะดี ควรจะเป็นผู้ประเสริฐ แต่เพราะไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง

บุคคลไม่มีกิเลส ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าไม่มีกิเลส จักมนสิการสุภนิมิตมี ราคะ โทสะ โมหะ มีจิตเศร้าหมองทำกาละ เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ เป็นของหมดจดผ่องใส แต่เจ้าของไม่ใช้ ไม่ขัด ซ้ำเก็บไว้ในที่มีละออง สมัยอื่นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นจะพึงเป็นของเศร้าหมอง สนิมจับได้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นบุคคลที่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม

บางท่านเป็นผู้มีกุศลจิต แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นกุศล เป็นผู้มีจาคะ มีการสละวัตถุช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นกุศลในขณะนั้น เพราะเหตุว่าไม่ได้เจริญสติ ไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ก็ไม่พากเพียรที่จะขัดเกลา เพราะถ้าตราบใดที่ไม่รู้ว่ายังมีกิเลสที่ลึก ที่ละเอียด ก็จะต้องเป็นผู้ที่ประมาท ทั้งๆ ที่จิตใจมีกุศลมาก มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แต่เพราะไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมมนสิการในสุภนิมิต มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ เพลิดเพลินไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งแต่ละท่านที่สนใจในธรรม แล้วเจริญสติปัฏฐาน คงอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงญาติพี่น้องเพื่อนฝูงซึ่งเป็นผู้มีจิตใจที่ดีงาม แต่ก็เพลิดเพลินไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นมีกุศลจิต แต่เพราะไม่ทราบตามความเป็นจริง ก็ทำให้เป็นผู้ที่เพลิดเพลินไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ

อุปมาเหมือนกับภาชนะสัมฤทธิ์ที่สะอาดหมดจด แต่เจ้าของไม่ใช้ ไม่ขัด ซ้ำเก็บไว้ในที่มีละออง สมัยอื่นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นจะพึงเป็นของเศร้าหมอง สนิมจับได้ ปล่อยไป เพลินไปกับโลภะ โทสะ โมหะมากๆ เข้า จิตใจก็ย่อมจะเศร้าหมองมากขึ้นเป็นของธรรมดา

ข้อต่อไป บุคคลใดไม่มีกิเลส ก็รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ไม่มีกิเลสในภายใน ย่อมจะไม่มนสิการสุภนิมิต ราคะไม่ครอบงำ มีจิตไม่เศร้าหมองทำกาละ เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ เป็นของหมดจด เจ้าของใช้ขัดสี และไม่เก็บไว้ในที่มีละออง สมัยอื่นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นก็พึงเป็นของหมดจดผ่องใสยิ่งขึ้น

ท่านที่มีกุศลจิตอยู่แล้ว และก็รู้ชัดตามความเป็นจริง ก็ยิ่งจะทำให้ได้ขัดเกลามากขึ้น ภาชนะที่หมดจดนั้นก็ยิ่งผ่องใสหมดจดยิ่งขึ้นได้

ท่านพระสารีบุตรกล่าวกับภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ อิจฉาวจระที่เป็นบาปอกุศลเหล่านี้ (อิจฉาวจระได้แก่ความปรารถนา ความติดข้องในลาภ ในยศ ในสักการะ ในสรรเสริญ เป็นต้น) ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งยังละไม่ได้แล้ว ชนทั้งหลายยังเห็น ยังได้ฟังอยู่ แม้เธอจะอยู่ในป่า มีเสนาสนะอันสงัด ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร ทรงจีวรเศร้าหมองอยู่ ถึงอย่างนั้น เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายก็ไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุนั้น

เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ เป็นของหมดจดผ่องใส เจ้าของใส่ซากศพงู ซากศพสุนัข หรือซากศพมนุษย์ จนเต็มภาชนะสัมฤทธิ์นั้น ปิดด้วยภาชนะสัมฤทธิ์ใบอื่น แล้วเอาไปร้านตลาด ชนเห็นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านผู้เจริญ สิ่งที่ท่านนำไปนี้คืออะไร คล้ายของที่น่าพอใจยิ่ง พึงลุกขึ้น เปิด ภาชนะสัมฤทธิ์นั้นดู พร้อมกับการเห็นซากศพนั้นก็เกิดความไม่พอใจ ความเกลียดชัง แม้คนที่หิวก็ไม่ปรารถนาที่จะบริโภค ไม่ต้องกล่าวถึงคนที่บริโภคอิ่มแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น

ท่านพระสารีบุตรกล่าวต่อไปว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ อิจฉาวจรที่เป็นบาปอกุศลเหล่านี้ อันภิกษุรูปใดรูปหนึ่งละได้แล้ว ชนทั้งหลายยังเห็น ยังได้ฟังอยู่ แม้เธอจะได้อยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน รับนิมนต์ ทรงคฤหบดีจีวร ถึงอย่างนั้นเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายก็ยังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุนั้น

เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ เป็นของหมดจดผ่องใส เจ้าของใส่ข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ที่เลือกเอาของดำออกแล้ว แกงและกับหลายอย่างจนเต็มภาชนะสัมฤทธิ์นั้น ปิดด้วยภาชนะสัมฤทธิ์อื่น แล้วเอาไปยังร้านตลาด ชนเห็นภาชนะสัมฤทธิ์นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

ดูกร ท่านผู้เจริญ สิ่งที่ท่านนำไปนี้คืออะไร คล้ายของที่น่าพอใจยิ่ง พึงลุกขึ้นเปิดภาชนะสัมฤทธิ์นั้นดู พร้อมกับการเห็นข้าวสุกแห่งข้าวสาลีขาวสะอาด มีแกงและกับหลายอย่างนั้น ก็เกิดความพอใจ ความไม่เกลียดชัง แม้คนที่บริโภคอิ่มแล้ว ก็ยังปรารถนาบริโภค ไม่ต้องกล่าวถึงคนหิว ฉันใด

ภิกษุที่แม้จะอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน รับนิมนต์ ทรงคฤหบดีจีวร แต่ว่าละ อิจฉาวจระที่เป็นบาปอกุศลได้แล้ว เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายก็ยังสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุนั้น

เป็นเรื่องของสถานที่หรือไม่ เป็นเรื่องของการละกิเลสทั้งนั้นที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 102

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 103