ดิฉันได้แนะนำน้องสาว (คนละแม่) ที่เมืองไทยให้ลองฟังธรรมจากบ้านธัมมะ โดยเริ่มแรกได้ส่งการบรรยายธรรมจาก YouTubeให้ฟังบ่อยๆ บางครั้งเขาไม่เข้าใจก็จะแนะนำให้เขาฟังบ่อยๆ ซ้ำๆ ในเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ เริ่มแรกจริงๆ ที่แนะนำให้ฟังธรรม เขาบอกว่า เขาไม่ศรัทธาในธรรมะ ไม่อยากฟัง น้องสาวอีกคนดิฉันก็ได้แนะนำให้ลองฟังธรรมจากบ้านธัมมะ โดยมีอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นผู้บรรยายร่วมกับท่านอาจารย์วิทยากรอีกหลายท่าน น้องคนนี้ศรัทธาในธรรมใฝ่ธรรมมากกว่าอีกคน คงเป็นเพราะบุญเก่าที่ได้สะสมมาแล้ว ชาตินี้เมื่อมีคนแนะนำเขาจึงสนใจที่จะฟังทันที ดิฉันได้ส่ง YouTube ธรรมะให้เขาฟังทุกวัน บางครั้งก็ลายน์สนทนาธรรมกัน เขามีอาชีพส่วนตัวต้องทำงานหนักมาก ตื่นตีสี่ทำงานถึงสิบโมงเช้า ตอนบ่ายพักผ่อนฟังธรรม ตอนสามทุ่มฟังธรรมอีกรอบหนึ่งราวๆ 1 ชั่วโมง ทำเช่นนี้ร่วม2 ปีแล้ว ชีวิตเขาไม่ร้อนรุ่มมากเหมือนเมื่อก่อน
ส่วนอีกคนที่บอกไม่ศรัทธา พอได้ฟังไปเรื่อยๆ บ่อยๆ จนเกิดความศรัทธาแรงกล้าจนกระทั่งไม่อยากทำอะไรเลย งานบ้านไม่เอา. งานเลี้ยงชีพทำบ้างไม่ทำบ้าง ปกติเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ เดี๋ยวนี้เขาบอกว่า เขามีเหตุปัจจัยที่ไม่ต้องทำงานอะไร เขามีเหตุปัจจัยเกิดมาเพื่อฟังธรรมจากอาจารย์สุจินต์เท่านั้น เวลาแม่เขาใช้ให้ไปซื้อของกินให้ เขาก็จะเรียกค่าเสียเวลา เมื่อก่อนเป็นคนชอบขโมยเงินคนในบ้าน หลังฟังธรรมหยุดการขโมยเด็ดขาดเพราะกลัวบาป แต่พฤติกรรมที่แย่ลงกว่าเดิมคือ เอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือว่ากล่าวคนในบ้านที่มีบุญคุณต่อตนเองให้เจ็บใจ ตัวอย่าง เช่น ดิฉันรับปากว่าจะช่วยออกเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้ แต่บังเอิญว่าพวกน้องๆ คนอื่นเขาขอให้ช่วยออกเงินสร้างบ้านใหม่และช่วยซ่อมบ้านเก่าที่ผุพังด้วย ดิฉันก็รับปากพวกเขา จึงบอกน้องคนที่อยากได้โทรศัพท์ใหม่ว่ารออีกหน่อยนะ เพราะเดือนนี้ช่วยออกสร้างบ้านและซ่อมบ้านเยอะแล้ว เขาถามดิฉันว่า พี่มีความจริงใจแค่ไหน ไม่เห็นความสำคัญของเขา ดิฉันไม่สามารถจะตอบคำถามเขาได้ อึ้งในคำถามของเขา ดิฉันช่วยเหลือด้านการเงินเขามาตลอด ตอนนี้โดนเขาว่าสัจจยังไม่เป็นบารมี เขาก็จะไม่รับเงินจากดิฉันอีก ทุกวันนี้เขาไม่ทำงานอะไรทั้งนั้น แม่อายุ 85 ปี ต้องทำอาหารให้เขากิน พี่น้องทุกคนขยันทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่น้องคนนี้ตั้งหน้าตั้งตาฟังธรรมหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะได้บรรลุธรรมเร็วๆ จะได้ไม่เกิดมาเจอญาติพี่น้องอีก อยากไปให้พ้นญาติพี่น้องของตน เพราะไม่มีใครดีเท่าตน ตนเองเข้าใจธรรมะอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเรียนระยะสั้นเพียงแค่ไม่กี่เดือน หลังจากได้ฟังธรรมศึกษาธรรมแล้ว กลายเป็นผู้มีวาทะในการด่าคนมากขึ้น ทำให้ทุกคนหวั่นกลัวจะโดนเขาด่าให้เจ็บปวด จึงอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสงบสุขเลย น้องอีกคนว่า พี่ไม่น่าแนะนำให้เขาฟังธรรมเลย อยู่อย่างเดิมก็แย่พอแล้ว
ดิฉันเขียนมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่าอยากจะขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ค่ะ มีความสงสัยว่าการศึกษาธรรมของผู้ที่ไม่เคยใฝ่ธรรมมาก่อน พอได้ฟังธรรมศึกษาธรรม ชีวิตเป็นไปแต่ละวันกลับร้อนรุ่มมากกว่าเดิม มองเห็นแต่ผู้อื่นไม่ดีเท่าตนเพราะผู้อื่นไม่ได้ฟังธรรมเข้าใจธรรมเหมือนตน การศึกษาธรรมเบื้องต้นถ้ามีความเข้าใจ มีความเห็นผิดจะมีโทษมากน้อยเพียงใดค่ะ
ขอกราบเท้าบูชาคุณท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรเข้าใจความจริงของชีวิตว่ามากไปด้วยอกุศล จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม ปัญญาเพียงขั้นการฟังทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย เพียงแต่ค่อยๆ เริ่มรู้ขึ้นในขั้นการฟัง จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมกิเลสที่เคยสะสมมามาก และยังมีมากก็พร้อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ที่คิดว่าศึกษาธรรมมากแล้วทำไมกิเลสยังเกิดมาก ก็สามารถเกิดกิเลสที่มีกำลังที่มากกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นหนทางการดับกิเลส ไม่ใช่จะกิเลสลดลงด้วยความเป็นเราที่ดีขึ้น เราโกรรธน้อยลง เราเป็นคนดี แต่ หนทางที่ถูกต้องคือ การเข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้ชั่วที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรา นี่คือ จนกกว่าจะเข้าใจว่าเป็นปกติเป็นธรรม ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยาย ท่านอ.สุจินต์ เรื่อง ชั่วก็เป็นธรรม ละชั่วก็เป็นธรรม
ท่าน อ.สุจินต์..เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าดีหรือชั่ว ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ให้เข้าใจถึงความจริงว่า จะพูดว่า “ชั่ว” ก็คือธรรม จะพูดว่า “ละชั่ว” ก็คือธรรม ต้องมีความเข้าใจด้วยว่าเป็นธรรม จึงจะเป็นคำสอนของผู้รู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เผินๆ นี่ไง บอกให้ทำความดี เท่านั้นหรือคะ ใครก็บอกให้ทำความดีได้ พ่อแม่พี่น้องครูอาจารย์ ก็รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดดี ก็สอนให้ทำดี แล้วเป็นธรรมหรือ หรือเข้าใจธรรมหรือ หรือจะต่างกับคำสอนของศาสดาอื่นอย่างไร หรือจะต่างจากคำสอนของครูบาอาจารย์คนไหนอย่างไร
นี่คือไม่รู้จักความเป็น “พุทธะ” ว่า ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม หรือธรรมวินัย ก็คือสอนให้เข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วให้เห็นความหลากหลายของธรรมมากมาย ซึ่งไม่ใช่เรา อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา ให้รู้ว่าเป็นธรรม แม้แต่ละ ก็ต้องรู้ว่าเป็นการเห็นโทษของอกุศล แล้วรู้ด้วยว่า ละ ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่ด้วยการสะสมกุศลเพิ่มขึ้นจนสามารถเข้าใจ จนกระทั่งชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถึง เพียงแค่ละทุจริต ละชั่ว แล้วก็ทำความดี โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ทีนี้ความต่างของพุทธศาสนิกชนหรือพุทธบริษัท ก็คือ เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม แม้แต่ในขณะที่อกุศลเกิด หรือในขณะที่ละอกุศลก็เป็นธรรม
ขอเชิญอ่านคำบรรยาย ท่านอ.สุจินต์ เรื่อง อยากหลอกตัวเองหรือจะรู้ความจริง
ท่าน อ.สุจินต์..อยากจะหลอกตัวเองต่อไปหรืออยากจะรู้ความจริง รู้จักตัวเองขึ้นให้ถูกต้อง วันนี้ตักตวงวัดอกุศลไม่ได้เลยว่ามากสักเท่าไร เพราะมากจริงๆ ชั่วขณะที่ฟังธรรมเป็นกุศล และขณะอื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สำหรับคนซึ่งสะสมกุศลมามาก วันหนึ่งกุศลมีโอกาสเกิดได้บ่อยแต่ไม่ใช่หมายความว่ามากเท่าอกุศล เพราะเหตุว่าทันทีที่ลืมตาก็โลภะแล้ว แล้วจะให้บอกว่าอย่างไร ถ้าเป็นพระอรหันต์ ลืมตาแล้วไม่มีหรอกโลภะ แต่เมื่อไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง การที่จะรักษาโรค ก็ต้องรู้สมุฏฐานของโรค ถ้าไม่รู้สมุฏฐานแล้วจะละอย่างไร คนที่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ไม่มีทางที่จะดับทุกข์ หรือดับกิเลสได้เลย เมื่อมีกิเลสก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร แต่ผู้ที่รู้จักกิเลส สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่ดี แล้วก็จะได้ทำดี แต่คิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว ก็ต่างกันใช่ไหมคะ ถ้าใครเขาบอกว่าไม่ดี เราจะรับไหมคะว่าจริงค่ะ ถูกค่ะ ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ลืมตาก็เป็นอกุศลก็มาเยอะแยะแล้ว
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณท่าน อ.ผเดิมที่เมตตาให้คำตอบและขอขอบพระคุณสำหรับคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ ด้วยค่ะ อ่านแล้วทำให้มีความเข้าใจขึ้นค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ