พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 316
สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าววาจา
สุภาษิตว่าเป็นที่หนึ่ง บุคคลพึงกล่าววาจา
ที่เป็นธรรมไม่พึงกล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม
เป็นที่สองบุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รัก
ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก เป็นที่สาม
บุคคลพึงกล่าววาจาจริง ไม่พึงกล่าววาจา
เท็จ เป็นที่สี่ ดังนี้.
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควร ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ว่า
บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุ
ยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียด-
เบียนผู้อื่น วาจานั้นแลเป็นสุภาษิต บุคคล
พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลาย
ชื่นชมแล้ว ไม่ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย
กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักแก่ชนเหล่าอื่น
คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น
ของมีมาแต่เก่าก่อน สัตบุรุษทั้งหลาย
เป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่เป็นอรรถ
และเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจา
ใด ซึ่งเป็นวาจาเกษม เพื่อให้ถึงพระ-
นิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจา
นั้นแลเป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย ดังนี้.
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา ครับ
ขออนุโมทนา เจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ หน้าที่ ๔๑๕
หากวาจาแม้ตั้งพัน
ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้
บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว
ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า
ขออนุโมทนา