พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 377
ข้อความบางตอนจาก ..
ภิกขุนีสูตรและอรรถกถา......... ดูก่อนน้องหญิง ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยอาหาร เธอพึงอาศัยอาหารละอาหารเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยตัณหา เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหาเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยนานะ เธอพึงอาศัยมานะละมานะเสีย ร่างกายนี้เกิดเป็นมาด้วยเมถุน ควรละเมถุนนั้นเสีย เมถุนนั้น พระ-ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ชักสะพานเสีย.... ....บทว่า ตณฺหํ ปชหติ ความว่า บุคคลอาศัยตัณหาอันเป็นปัจจุบันที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ ในบัดนี้ ย่อมละบุพตัณหาอันมีวัฏฏะเป็นมูล. ถามว่า ก็ตัณหาอันเป็นปัจจุบันนี้เป็นกุศลหรืออกุศล. ตอบว่า เป็นอกุศล. ถามว่า ควรเสพหรือไม่ควรเสพ. ตอบว่า ควรเสพ. ถามว่า จะชักปฏิสนธิมาหรือไม่ชักมา. ตอบว่า ไม่ชักมา. แต่ควรละความใคร่ ในตัณหาที่ควรเสพ อันเป็นปัจจุบันแม้นี้เสียทีเดียว......อธิบายข้อนี้ไว้ว่า ภิกษุนั้นจักทำอรหัตตผลให้แจ้งอยู่ ด้วยเหตุไรเราจึงจักไม่ ทำให้แจ้งอยู่เล่า แม้ภิกษุนั้น ก็เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เราก็ เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน อรหัตตผลนั้น จักเกิดแก่เราบ้าง. บทว่า มานํ นิสฺสาย ได้แก่อาศัยมานะที่ควรเสพอันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้.บทว่า มานํ ปชหติ ได้แก่ บุคคลละบุพมานะอันมีวัฏฏะเป็นมูล. อธิบายว่าก็บุคคลนั้น อาศัยมานะใดละมานะนั้นได้ แม้มานะนั้นก็เป็น อกุศล ควรเสพและไม่ชักปฏิสนธิมาดุจตัณหา แต่ควรละความใคร่แม้ในมานะนั้นเสีย.........