ขอถามสักเล็กน้อยครับ คือยังสงสัยเรื่องขันธ์ ขันธ์หนึ่ง คือผู้ที่เกิดมามีขันธ์เดียว ได้แก่อสัญญีพรหมหรือที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก แล้วส่วนรูปในขันธ์ ๕ นั้นเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ครับ เช่นร่างกาย ก้อนอิฐ ต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้นครับ แล้วเหตุใดจิต ที่อยู่ในอรูปพรหมก็มี แล้วทำไมจึงมีแค่ขันธ์เดียวครับ ขอรบกวนตอบให้หน่อยครับ และอีกเรื่องมีพระที่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ได้บอกว่าโยมสอนพระไม่ได้ ทุกวันนี้ ทำผิดกันหมดให้โยมมาสอนพระไม่ถูกเรื่อง ก็เลยถามว่าแล้วพระจะหาความรู้เองได้ อย่างไร ก็ตอบว่าให้ศึกษาเอง เพราะเดี๋ยวนี้พระที่บวชมาแล้วนั้นจะมีผู้มีความรู้มาสอน ที่ป็นพระด้วยกันก็แสนจะหายาก แล้วถ้าเป็นการถวายความรู้ล่ะจะได้หรือไม่ ก็ไม่มีคำตอบให้ได้ แล้วจะทำกันอย่างไรในเมื่อผู้มีความรู้นั้นก็มีทั้งพระและโยม ถึงจะเป็นพุทธบัญญัติไว้ว่าห้ามโยมสอนพระก็ตาม แต่สมัยนี้ก็เป็นการควรอยู่บ้าง แค่เปลี่ยนการสอน เป็นการถวายความรู้ก็น่าจะได้นะครับ
ขอรบกวนถามครับ
ขอขอบคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า
ขอถามสักเล็กน้อยครับ คือยังสงสัยเรื่องขันธ์ ขันธ์หนึ่ง คือผู้ที่เกิดมามีขันธ์เดียว ได้แก่ อสัญญีพรหมหรือที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก แล้วส่วนรูปในขันธ์ ๕ นั้นเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ครับ เช่นร่างกาย ก้อนอิฐ ต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้นครับ
- เมื่อกล่าวโดยสภาวธรรมที่เป็นรูปธรรม แล้ว คือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ซึ่งสภาพธรรมสามารถแบ่งได้หลายนัย เช่น แบ่งเป็นขันธ์ มีขันธ์ ๕ เป็นต้น ในขันธ์ ๕ ก็มี รูปขันธ์ ๑ และ นามขันธ์ ๔ รูปขันธ์ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) กับ รูปธรรมก็เหมือนกันครับ คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เพียงแต่ว่า เมื่อกล่าวโดยนัยของขันธ์ แล้ว จะเจาะจงไปที่เป็นรูปที่อาศัยร่างกาย ที่มีใจครอง เป็นต้น รวมทั้งรูปขันธ์ที่เกิดจากกรรมเป็นสำคัญด้วยครับ และมุ่งหมายถึง สิ่งมีชีวิต ที่มีรูปด้วย
ดังนั้น สัตว์ ที่มี ขันธ์เดียว คือ มีแต่รูป ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นสัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่มีขันธ์เดียว คือ มีรูป แต่ไม่มีนาม เป็นอสัญญสัตตาพรหม แต่มีชีวิต เพราะเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย ส่วน ต้นไม้ ก้อนอิฐ เป็นรูปธรรม ก็จริง แต่ไม่จัดเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นรูป ที่ไม่ได้เกิดจากกรรม เกิดจากอุตุ จึงไม่ใช่สัตว์ที่มีขันธ์เดียว เพราะไม่ใช่สัตว์ เนื่องด้วยไม่มีชีวิต ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม ครับ แต่ร่างกายของบุคคลที่เกิดในภพภูมิที่มี ขันธ์ ๕ จัดเป็นรูปขันธ์ เพราะมีใจครอง คือ เป็นรูปที่มีใจครอง เป็นต้นครับ
แล้วเหตุใดจิตที่อยู่ในอรูปพรหมก็มี แล้วทำไมจึงมีแค่ขันธ์เดียวครับ
ขอรบกวนตอบให้หน่อย ครับ
- อรูปพรหมภูมิ คือ ภูมิที่มีแต่นาม ไม่มีรูปเลย ดังนั้น จึงมีจิต และเจตสิกเกิดขึ้น แต่ไม่มีรูปเกิดขึ้น จึงเป็นภพภูมิที่ ๔ ขันธ์ คือ นามขันธ์ ๔ ดังนั้น อรูปพรหมภูมิ ไม่ใช่มีขันธ์เดียวครับ แต่มี ๔ ขันธ์ ส่วนที่มีขันธ์เดียวที่มีแต่รูปขันธ์ เป็นอสัญญสัตตาพรหมไม่ได้อยู่ในอรูปพรหม อยู่ในรูปพรหม ครับ
และอีกเรื่อง มีพระที่เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ได้บอกว่า โยมสอนพระไม่ได้ ทุกวันนี้ ทำผิดกันหมดให้โยมมาสอนพระไม่ถูกเรื่อง ก็เลยถามว่าแล้วพระจะหาความรู้เองได้อย่างไร ก็ตอบว่าให้ศึกษาเอง เพราะเดี๋ยวนี้พระที่บวชมาแล้วนั้นจะมีผู้มีความรู้มาสอน ที่ป็นพระด้วยกันก็แสนจะหายาก แล้วถ้าเป็นการถวายความรู้ละจะได้หรือไม่ ก็ไม่มีคำตอบให้ได้ แล้วจะทำกันอย่างไรในเมื่อผู้มีความรู้นั้นก็มีทั้งพระและโยม ถึงจะเป็นพุทธบัญญัติไว้ว่าห้ามโยมสอนพระก็ตาม แต่สมัยนี้ก็เป็นการควรอยู่บ้าง แค่ เปลี่ยนการสอนเป็นการถวายความรู้ก็น่าจะได้นะครับ ขอรบกวนถามครับ
- สำหรับคฤหัสถ์ สามารถแสดงธรรมให้กับพระภิกษุได้ ไม่ผิดอะไรครับ ดังเช่น สมัยพุทธกาล ท่านจิตตคฤหบดี เมื่อท่านมีจิตมุ่งอนุเคราะห์พระภิกษุ ท่านก็ได้ถามปัญหา และท่านเองก็ได้แสดงธรรมให้กับพระภิกษุทั้งหลายได้ฟังและเข้าใจกันครับ ดังนั้น การแสดงธรรมของคฤหัสถ์ เพื่อให้พระภิกษุได้เข้าใจ มีความรู้ คฤหัสถ์สามารถทำได้
ส่วนเรื่องการแนะนำพระภิกษุ ก็สามารถแนะนำได้ หากท่านทำผิด แต่ไม่ใช่เป็นการพูดตรงๆ ว่าท่านทำผิด แต่สามารถพูดคุยสนทนา โดยการพูดโดยอ้อม ยกพระธรรมวินัยได้ แต่ไม่ใช่การแนะนำว่ากล่าว โดยตรง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมและวินัย เป็นศาสดาแทนพระองค์ ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า ผู้ที่แสดงธรรมของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนผู้ที่อ่านสาส์นของพระราชา และไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือ ฆราวาส ถ้าเข้าใจธรรม มีปัญญา ก็สามารถแสดงธรรมให้พระภิกษุ หรือ ฆราวาสด้วยกันได้ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย เพราะไม่มีคนเกิด ไม่มีสัตว์เกิด มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป แม้แต่ผู้ที่เกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม มีแต่รูปธรรม ไม่มีนามธรรม มีเพียงรูปขันธ์เท่านั้น แต่เนื่องจากว่าเป็นรูป เป็นสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นผลของกรรม เกิดจากกรรม มีรูปที่ทรงชีวิตไว้ จึงแตกต่างจากรูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรม อย่างเช่น รูปภายนอก ที่รู้กันว่าเป็นต้นไม้ อิฐ เป็นต้น แต่เมื่อกล่าวถึงรูปแล้ว ก็มีความเสมอกัน โดยความเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีแต่จะคล้อยไปสู่ความดับโดยส่วนเดียว สำหรับผู้ที่เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ในอรูปพรหมภูมิ ย่อมมีแต่นามธรรม คือ จิต เจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเท่านั้น (มีขันธ์ ๔ ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ไม่มีรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้นเลยในขณะที่เป็นอรูปพรหมบุคคล
- ความจริง (สัจจะ) ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็ควรกล่าว การกล่าวธรรม ซึ่งเป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศบรรพชิตเท่านั้น ใครก็ตามที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ควรที่จะได้กล่าว เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น ตามกำลังปัญญาของตนเอง และ ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว ก็ควรฟังทั้งนั้น เพราะสิ่งที่มีจริงนั้น หาฟังได้ยาก ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นจากการได้ฟังในแต่ละครั้ง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอถามอีกหน่อยครับ คือในรูปพรหม มี เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ หรือไม่ แล้วถ้าไม่มีจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร แล้วถ้ามี ขันธ์ทั้งสี่ไปอยู่ไหน แล้วเพราะเหตุใดจึงว่ามีขันธ์เดียว ขันธ์ทั้งสี่หายไปไหนครับ
ขอรบกวนถามครับ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
ขอถามอีกหน่อยครับ คือในรูปพรหมมี เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ หรือไม่
- รูปพรหมภูมิ คือ เหล่าสัตว์ที่เกิดด้วย กำลังของรูปฌาน ซึ่งเป็นสัตว์ที่มี ขันธ์ ๕ และ มีขันธ์เดียว คือ มีรูปพรหมที่มีครบทั้ง ๕ ขันธ์ คือ มีรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณขันธ์ และ ก็มีรูปพรหมบางประเภท ที่มีขันธ์เดียว คือ มีแต่รูปขันธ์ ไม่มีนามขันธ์เลย คือไม่มีจิต เจตสิกเกิดขึ้น มีแต่รูปเท่านั้น ที่เรียกว่า อสัญญสัตตาพรหม
สรุปได้ว่า รูปพรหม นั้น มีทั้งประเภทที่มี เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณขันธ์ด้วย รวมทั้งรูปขันธ์ คือ มีขันธ์ ๕ และรูปพรหมบางประเภท มีขันธ์เดียว คือ มีรูปขันธ์เท่านั้น ไม่มีนามขันธ์
แล้วถ้าไม่มี จะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร แล้วถ้ามี ขันธ์ทั้งสี่ไปอยู่ไหน แล้วเพราะเหตุใด จึงว่ามีขันธ์เดียว ขันธ์ทั้งสี่หายไปไหนครับ
- ที่มีขันธ์เดียว ที่เป็น อสัญญสัตตาพรหมที่มีแต่รูปขันธ์ ด้วยอำนาจของกำลังของฌาน ที่เป็นผู้เห็นโทษของการมีนามธรรม คือ จิต เจตสิก เพราะหากไม่มี จิต เจตสิกไปรับรู้ ก็ไม่ต้องทุกข์กายและทุกข์ใจเลย เพราะมีนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ จิต เจตสิก จึงทำให้มีการรับรู้ จึงทำให้ทุกข์กายและทุกข์ใจ หากไม่มีจิต เจตสิก ก็คงไม่เจ็บปวด
ดังนั้น ผู้ที่อบรมได้ฌานและเห็นโทษของการมีนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงปรารถนาด้วยการไม่มีนามธรรม (ขันธ์ ๔) ด้วยกำลังของฌาน เมื่อจุติ ฌานที่เห็นโทษในการมี จิต เจตสิกนั้นให้ผล ทำให้เกิดมีแต่รูปเท่านั้น ไม่มีนามเกิดขึ้นเลย เพราะด้วยกำลังของฌานที่เห็นโทษในการมีนามธรรม ที่เป็น จิต เจตสิกนั่นเองครับ
ขันธ์ทั้ง ๔ ที่เป็นนามธรรม ที่เป็นเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ หายไปเมื่อเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม เพราะด้วยผลของกรรมที่เป็นฌานในการเห็นโทษของการมีนามธรรม นั่นเองครับ จึงมีแต่รูป นามหายไป แต่เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะเกิดจากกรรมเป็นปัจจัย จึงชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิต แม้ไม่มีนามธรรมเกิดก็ตามครับ เพราะ สิ่งมีชีวิต ตัดสินด้วยธรรมประการหนึ่ง คือ เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาและขอบคุณอย่างสูง