เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปร่วมสนทนาธรรมที่ บ้านสินสมุทร จ.ราชบุรึ ได้สนทนาถึงพระสูตร ปุราเภทสูตร ที่ได้สนทนากันในวันเสาร์ที่ มูลนิธิ ว่า ก่อนตายควรทำอะไร? ซึ่งก็ไม่ใช่รอให้ถึงก่อนตาย ค่อยคิดว่าจะทำอะไร เพราะทำไม่ทันเสียแล้ว การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องเข้าใจ บุญเกิดขึ้นได้เพราะจิตในขณะนั้นเป็นกุศล แต่การกระทำที่เกิดจากความไม่เข้าใจไม่ใช่กุศลไม่ใช่บุญ เช่นให้ทานเพื่อหวังอยากให้เขาให้ประโยชน์ตอบแทน ให้เพื่ออยากให้เขาให้ตอบ ให่เพื่อหวังให้เขารัก เป็นต้น อย่างเรื่องของทาน การให้ นอกพุทธศาสนาก็มีการให้ทาน การให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น โดยไม่ได้หวังผล จิตขณะนั้นเป็นบุญ แต่เมื่อไม่มีความเข้าใจธรรม ก็ยังเป็นเราที่ทำบุญ ไม่รู้ว่าแท้จริงทุกอย่างเป็นธรรม แม้เราก็ไม่มี ก็ไม่เป็นเหตุให้ถึงการพ้นทุกข์ได้ เพราะยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา
พระธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก หากไม่ฟังโดยเคารพว่า ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นทรงตรัสรู้อะไร ให้เข้าใจอะไร ไม่เช่นนั้นกิเลสใดๆ ก็ดับไม่ได้ และไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย พระธรรมที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริง สิ่งที่มีจริงก็คือธรรม คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีอยู่ มีเห็น มีได้ยิน... ทุกขณะที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นจากธรรมเลย ถ้าไม่มีสภาพธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี พ่อ แม่ พี่ น้อง สมบัติต่างๆ เงินในธนาคาร ก็ไม่มี แม้เราก็ไม่มี นี่คือความจริง สภาพธรรมรู้ได้ยาก เพราะถูกหุ้มห่อด้วยเรื่องราวต่างๆ เพราะความไม่รู้ ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมจึงถูกห่อหุ้มด้วยบุคคลต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ...มีสมบิติไหม? มีแต่ในความคิด เพราะจำไว้ว่ามี สมบัติที่แท้จริงก็คือบุญ เพราะสมบัติมาได้ด้วยบุญ เมื่อฟังพระธรรม เริ่มเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีเพียงหนทางเดียวที่จะพาไปสู่สุคติภูมิ และสูงสุดไปสู่การดับทุกข์ ไม่เกิดอีกเลย ก็คือ บุญ เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาเหลือน้อยเต็มที ควรที่จะไม่ประมาทว่าพระธรรมนั้นง่ายไว้ตอนแก่ค่อยฟัง มีชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อปัญญาปรากฏ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริง หนทางเดียวจริงๆ ก็คือ ฟังแล้วเข้าใจขึ้นอยู่ด้วยความเข้าใจถูก เพื่อละความไม่รู้ และความติดข้อง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขออนุโมทนาพี่เมตตาด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อความบางตอน
จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
"...ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนานร่าเริงแต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใดถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะปกติ คนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุ พอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด... และไม่ต้องคร่ำครวญว่าอกุศลมากเหลือเกินเพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และรู้ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาทเพราะฉะนั้น ถ้ากลัวเกิดในอบายภูมิ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญกุศลโดยเฉพาะการเจริญปัญญา เพราะพระอริยบุคคลเท่านั้น ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ
แต่ถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่มี ที่ได้กระทำแล้ว ไม่เฉพาะที่ทำในชาตินี้ ...อาจจะเป็นชาติไหนๆ ก็ได้ จากอดีตหลายแสนโกฏิกัปป์ก็อาจจะมาทำให้เกิดในชาตินี้ได้แต่เรื่องที่จะทำอะไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนกับขณะนี้จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้จิตเป็นกุศลเสียเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเสียเดี๋ยวนี้ แทนที่จะไปรอทำก่อนตาย..."
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนตาย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ทำความดีก่อนตาย. ฟังธรรมมากๆ เพื่อเข้าถึงสัจจธรรมความจริงค่ะ
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตา ด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ตายแล้วไปไหน ไม่อาจรู้ได้ แต่ก่อนตายควรศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจ จนรู้จักกิเลส เข้าใจทุกข์ ไม่เพลินสุข ไม่กลัวตาย
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ก่อนที่จะตายควรเจริญกุศลอบรมปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะชาติหน้า เกิดใหม่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเช่นขณะนี้ เดี๋ยวนี้ หรือไม่
อนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิตพี่เมตตา และ ทุกท่านด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ