ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๑
โดย khampan.a  15 ก.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 31164

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๑

~ การฟังพระธรรม มีพระธรรม คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลย คำไหนที่ตรัสไว้แล้ว คำนั้นก็ยังดำรงอยู่ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น

~ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะเป็นสิ่งที่กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) นานมาก เพื่อที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครที่ไม่ฟังแล้วก็บอกว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะรู้ความจริง เพราะถ้าไม่ฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ แล้วก็ไม่รู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นใครด้วย เพราะไม่รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง เพื่ออนุเคราะห์คนผู้ไม่รู้ ซึ่งเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืดให้ได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทปัญญาคิดว่ารู้แล้ว แต่เพียงกำลังสะสมความเห็นถูกเพื่อที่จะละความไม่รู้ ก็จะเป็นผู้ที่วันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ที่เพิ่มขึ้น
~ ถ้าเป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ก็ทำให้สิ่งที่ไม่ดี ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เป็นไปในทางที่ไม่ดี นี่คือ กำลังของธรรมที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นธรรมที่ดี ตรงกันข้าม ที่จะไปทำให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น กำลังของทั้งสองอย่าง จึงต่างกัน เพราะฉะนั้น กำลังของธรรมฝ่ายดี ก็ต้องทำให้สิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์เกิดขึ้นเป็นไป เท่านั้น
~ โลกไม่สงบ เดือดร้อนวุ่นวายทั้งหมด เพราะกิเลส ไม่มีทางที่จะหมดได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง คือ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะระงับความไม่สงบสุขทั้งหลายได้ ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ฟังอย่างนี้แล้วยังจะเฉยเมยไหม ทั้งๆ รู้ว่า นี้แหละเป็นสิ่งเดียวที่สามารถที่จะนำความสงบสุขมาให้ จากการที่เริ่มเข้าใจถูกต้อง คือ ปัญญา, ปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ต้องนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องที่เป็นคุณความดีทั้งหมดได้
~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า “ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น” วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
~ ไม่ใช่คนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงธรรมว่าอย่างไร
~ ถ้าเป็นภิกษุ ก็ต้องเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศของคฤหัสถ์ ชัดเจน
~ จะขัดเกลากิเลสไม่ใช่หรือ จึงบวช สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น กาย วาจา ต้องเป็นไปตามการขัดเกลากิเลส และ ใจ ประกอบด้วยความเข้าใจพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้ขัดเกลากิเลสได้
~ การกระทำทางกาย ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คนของพระองค์ วาจาใดที่ไม่เหมาะ ไม่ควร แก่เพศบรรพชิต ไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย แม้คฤหัสถ์ยังไม่พูดแล้ว ภิกษุที่เป็นผู้ที่รู้ว่าเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส พูด (คำที่ไม่เหมาะไม่ควร) ได้อย่างไร
~ การพูดความจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ?
~ เปลี่ยนคนที่กระด้าง ให้ไม่กระด้างได้ไหม ถ้าเขาไม่ได้สะสมมา แต่ถ้าเขาสะสมมา ที่เคยเป็นคนกระด้าง แต่เป็นคนที่สะสมมาที่จะเข้าใจคำทำให้เป็นผู้ที่ไม่กระด้างได้ ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระมหากรุณาแสดงธรรม เพราะรู้ว่า คนที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม มีได้ จึงได้ทรงอนุเคราะห์
~ ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่ได้ทรงมอบหมายให้ใครเป็นศาสดาเลย ทั้งๆ ที่ในยุคนั้น ก็มีพระอริยบุคคลมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทรงมอบหมายให้ใครเลยทั้งสิ้น เพราะพระธรรมตรัสไว้ดีแล้ว เปลี่ยนได้ไหม เมื่อเปลี่ยนไม่ได้ ก็มีทางเดียวคือ เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็โดยการฟังคำของพระองค์ ไม่เปลี่ยน
~ ชีวิต ก็ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว ใกล้ที่จะถึงกาล (เวลา) เป็นบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าสะสมความเห็นผิด สะสมความไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติต่อๆ ไป ก็เป็นเดียรถีย์เต็มตัวเลย
~ คิดถึงคนต่อไปที่จะมาจากคนนี้หรือเปล่า รู้จักแต่คนนี้ชาตินี้แล้วก็จะมีคนใหม่เกิดขึ้นจากคนนี้แหละในภายหน้า แล้วคนนั้นจะเป็นอย่างไรแล้วแต่พฤติกรรม การกระทำของคนที่กำลังเป็นไปในชาตินี้อยู่
~ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุคือผู้ที่ขัดเกลากิเลส อย่าลืมคำนี้เลย แล้วจะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร ต้องฟังธรรม พอไหม ไม่พอแค่ฟัง ต้องปฏิบัติตามด้วย จึงจะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นสาวกผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
~ จะรู้ว่าใครเป็นภิกษุ ก็คือว่า เขาบวชทำไม? ต้องไม่ลืมว่า บวชเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น พฤติกรรมต่างๆ ส่องชัดเจน ว่า ขัดเกลากิเลสหรือเปล่า? อ้างว่าเป็นผู้วิเศษ สามารถที่จะรักษาโรคได้ ขัดเกลากิเลสหรือเปล่า หรือว่ามีเครื่องรางของขลัง อภิเษกตนเองเป็นผู้วิเศษใช่ไหม? จะเป็นของขลังได้อย่างไร ก็เป็นไม้ เป็นตะกั่วหรืออะไรก็ตามแต่ แล้วจะวิเศษได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ไม่มีคำที่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่เขลา (คือ ผู้ที่มีปัญญา) ก็คือว่า ต้องเป็นผู้ที่พิจารณาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกายหรือวาจา ทำอย่างนี้ขัดเกลากิเลสหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ (การขัดเกลากิเลส) ก็ไม่ใช่ภิกษุแน่นอนในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า บวชเพื่อขัดเกลากิเลส คฤหัสถ์ก็ขัดเกลากิเลส แต่ไม่บวช เพราะรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า ไม่บวช
~ ไม่มีอะไรเป็นปาฏิหาริย์ที่ประเสริฐ นอกจากนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ จะประพฤติปฏิบัติตามไหม ก็ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม แต่ผู้ใดก็ตามที่ฟังด้วยความเคารพ มีหรือที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า ใครก็ตามที่เข้าใจว่าตนเองเป็นภิกษุ สมควรที่จะพิจารณาตนเองว่าเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะเหตุว่า การเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ประการเดียว คือ เพื่อขัดเกลากิเลส อย่าลืมเลย และ การกระทำที่จะเป็นการรับเงินรับทอง ไม่ว่าจะโดยประการใดทั้งสิ้น เป็นการขัดเกลากิเลสหรือเปล่า
~ ถ้า (ภิกษุ) มีความมั่นคงว่าจะขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ มีหรือที่บุคคลนั้นจะไม่ศึกษาพระธรรมความเคารพ ไม่ประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ จะต้องเป็นผู้ที่ระมัดระวังที่จะศึกษาทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะเหตุว่า เมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาที่เข้าใจนั้น ก็จะทำให้เห็นคุณของพระวินัยทุกข้อ และเห็นประโยชน์ของการที่จะปฏิบัติตามด้วย ไม่ใช่ฝ่าฝืน
~ สิ่งเดียวที่พระภิกษุ ให้ได้ ไม่ใช่อย่างอื่นทั้งสิ้น นอกจากธรรมที่ได้ศึกษาเข้าใจดีแล้ว เพื่อที่จะดำรงพระศาสนาไว้ให้มั่นคงต่อไป ทั้งเพศคฤหัสถ์และบรรพชิต เมื่อคฤหัสถ์ ไม่ได้บวช จึงได้อาศัยชีวิตของผู้ที่เป็นภิกษุที่ได้เล่าเรียนมาให้คำที่เป็นคำจริงที่จะทำให้เข้าใจแต่ละคำเพิ่มขึ้น มิฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไร ถ้าภิกษุไม่กล่าวธรรมเลย และไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย
~ พระภิกษุไม่มีอะไรจะไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ เอาของที่ไหนมา จะไปขอเขาก็ผิดพระวินัย ไม่ใช่เรื่องของพระภิกษุ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระภิกษุจะกระทำเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ สงเคราะห์ด้วยการช่วยให้เขาเกิดปัญญาที่จะมีความเห็นถูก ซึ่งไม่ว่าจะในยามใด เจ็บป่วยทุกข์ยากประการใดๆ ก็ตาม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และขัดเกลากิเลส จึงเป็นเพศที่คฤหัสถ์แสดงความเคารพอย่างยิ่ง ใช้คำว่า "พระ" หรือ "วร" คือ ผู้ประเสริฐ ต้องประเสริฐตามชื่อ แต่ถ้าภิกษุใดรับเงินทอง ขัดเกลากิเลสอะไร?
~ ในยุคนั้น คือ ในสมัยครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์ป่วยไข้ พระภิกษุไปเยี่ยม แม้ท่านพระอานนท์ก็ไปเยี่ยม เอายาไปให้หรือเปล่า หรือว่า ให้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ายาซึ่งคนอื่นก็ให้ไม่ได้ (คือ พระธรรม)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประพฤติอย่างไร กาย วาจาของภิกษุในพระธรรมวินัย ก็ต้องประพฤติอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้น จะเอาเงินไปถวายพระพุทธเจ้าไหม แล้วพระองค์จะทรงพระมหากรุณารับไว้ไหม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเป็นผู้ที่ตรง เพื่อขัดเกลากิเลส.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๐


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย kukeart  วันที่ 15 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 15 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย มกร  วันที่ 15 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย panasda  วันที่ 16 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย jaturong  วันที่ 16 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย Nattaya40  วันที่ 16 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย siraya  วันที่ 18 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 18 ก.ย. 2562

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ...


ความคิดเห็น 9    โดย kullawat  วันที่ 19 ก.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ