ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๙ * *
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว มีทุกข์ทุกขณะ แต่ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเป็นปุถุชน ผู้ไม่รู้อะไรเลย ผู้มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งละความไม่รู้และค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งกิเลสดับหมดไม่เหลือ นี่คือความน่าอัศจรรย์ยิ่งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้จากผู้ที่มีกิเลสมาก ไม่มีกิเลสเลย เมื่อได้เข้าใจความจริง
~ พระพุทธศาสนา ไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะ แต่ต้องตั้งอยู่ด้วย “นิรามิสบูชา” การบูชาที่ไม่ใช่อามิส (วัตถุสิ่งของ) แต่ว่าบูชาด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในแต่ละคำ ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้นในแต่ละชาติ
~ พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่า ที่สำคัญที่สุดไม่พ้นจิต จะสุข จะทุกข์ อยู่ที่ไหน? มีเงินทองมากมายมีทรัพย์สมบัติหรือว่าจะมีคำสรรเสริญชื่นชม อะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด แต่จิตเป็นทุกข์ได้ไหม? ก็ได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส จะไม่รู้เลยว่าที่ทุกข์เพราะกิเลส แต่พอได้เริ่มเข้าใจแล้วก็ค่อยๆ มีกิเลสที่เบาบางลง จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์จริงๆ แต่ก็ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะชำระจิตได้
~ การที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือชีวิตประจำวัน เมื่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ดีขึ้นทั้งกาย ทั้งวาจา เพราะใจมีความเข้าใจธรรมขึ้น ก็แสดงว่าทั้งหมด ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่การที่จะพูด สองคนพูดเรื่องเดียวกัน เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่คำพูดต่างกันได้ ตามจิตในขณะนั้น ซึ่งขณะที่ขัดเกลากิเลส ก็จะเป็นมิตรกับคนที่เราพูดด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้น คำพูดจากมิตร จะต่างกับคำพูดที่ไม่ได้คำนึงถึงคนฟังเลย
~ เราจะโกรธคนไม่รู้ไหม หรือว่า มีเมตตา มีความเป็นมิตร มีความหวังดีที่จะให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง แทนที่จะหลงทางไปอีก นานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ และไปในทางที่ไม่ชอบคือไม่เป็นประโยชน์ด้วย?
~ ทุกคำในพระไตรปิฎก กล่าวถึงอนัตตาทั้งหมด แม้แต่ ละชั่ว ไม่ได้บอกชื่อใครละ ไม่ได้บอกชื่อ ว่า คนไหนละ แต่ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นละชั่ว ทำดี ก็ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น อย่างคนที่แต่ก่อนฟังธรรมก็ขี้โกรธ พอฟังแล้วก็ เอ๊ะ โกรธอะไร? โกรธคิ้วเขาหรือ? หรือว่าโกรธตาเขา โกรธจมูก หรือโกรธอะไร? และโกรธนั้น เป็นโทษกับใคร? ไม่ได้เป็นโทษกับคนที่ถูกโกรธเลย แต่เป็นโทษกับคนโกรธ ถ้าปัญญารู้อย่างนี้จริงๆ จะโกรธหาโทษใส่ตัวไหม? เพราะว่า ใครไม่ได้รับผลเลย นอกจากเรา โกรธบ่อยๆ ก็กลายเป็นคนขี้โกรธ
~ กิเลสที่มีกำลังแรงเกิดได้เพราะว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ฉันใด ปัญญาที่คมกล้า ถ้าไม่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งมีกำลังแล้วจะเป็นปัญญาที่คมกล้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงปัญญา ต้องเข้าใจถึงอรรถว่า หมายความถึงสภาพปรมัตถธรรมที่สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ
~ สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่า ได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?
~ ร่างกายนี้เป็นของเราหรือเปล่า? ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นของเราหรือเปล่า? หลงเข้าใจว่าเป็นเราและของเรามานาน แต่ความจริงก็คือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบสัมผัสก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ แขนขาด ขาขาด ฟันหัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ไหนล่ะ เรา ไหนล่ะ ของเรา เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง แล้วก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ซึ่งนำความทุกข์มาให้
~ เป็นคนนี้ เพียงในชาตินี้ และจะเป็นคนนี้ได้มากหรือน้อย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าจะมีอายุอีกนานเท่าไหร่ และจะเห็นอะไรบ้าง ระหว่างที่ยังอยู่ในโลกนี้ เห็นแล้ว ก็ รักบ้าง ชังบ้าง เดือดร้อนใจบ้าง หรือ ทำดี ทำชั่ว บ้าง ก็ชั่วขณะที่เป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เป็นบุคคลอื่น ทันที ไม่ได้กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกได้เลย เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ประเสริฐที่สุด คือ ขณะที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละความไม่รู้และความติดข้อง ไม่ใช่เพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย
~ ชีวิตที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ ทั้งหมด มาจากธรรมฝ่ายไม่ดี ซึ่งเป็นอกุศลธรรม ซึ่งใครก็ดับไม่ได้ ถ้าไม่รู้ คือ ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่อาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น ด้วยเหตุนี้ แต่ละครั้งที่มีการรู้ความจริง แม้เพียงเล็กน้อย ว่าเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
~ ถึงแม้ว่าจะแข็งแรงดี ใจเป็นทุกข์ได้ไหม? แน่นอนเลย มีทรัพย์สมบัติมาก ใจเป็นทุกข์ได้ไหม? มีชื่อเสียงมาก เป็นทุกข์ได้ไหม? มีเกียรติยศมาก ชั่วคราวทั้งหมด แต่ว่า ยาทั้งหลาย สามารถรักษาได้เพียงกาย แต่ใจ ใครจะรักษาได้? แต่ผู้ที่จะทรงรักษาได้ผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรักษาไข้ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ทำลายจิตคือกิเลสทำให้จิตเศร้าหมอง เดือดร้อน เป็นทุกข์มาก ด้วยประการต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงความจริงซึ่งเหมือนยาที่รักษาโรคซึ่งคนอื่นรักษาไม่ได้เลย
~ เกิดมาเป็นคนนี้ ชาติก่อนเป็นใคร? ชาติต่อไปเป็นใคร? แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชาตินี้ ที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล ก็สะสมสืบต่อไปเป็นอัธยาศัยสำหรับคนใหม่ ใครก็ไม่รู้ เกิดมา ชาติก่อนอยู่ที่ไหน เป็นใคร ก็ไม่รู้ทั้งสิ้น แต่ก็ชั่วคราว แล้วแต่ว่า กรรมจะทำให้มีชีวิตอยู่ในชาตินี้นานเท่าไหร่ แล้วก็จากไป แล้วก็ไม่เหลือ ก็เป็นอย่างนี้ทุกชาติ
~ โกรธขณะไหน ไม่ใช่เพื่อนในขณะนั้น ไม่ว่าเขาเป็นใคร โกรธใครก็ตาม ขณะนั้นไม่ใช่เพื่อน ขณะนั้น ไม่มีเมตตา อกุศลสะสมมามากมายมหาศาล พระธรรมเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เมื่อเข้าใจ แล้วก็จะรู้ว่า ทุกคำเป็นประโยชน์มหาศาลจริงๆ ที่สามารถที่จะทำให้สิ่งที่เคยเกิดมากๆ ก็เกิดน้อยลง จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถที่จะไม่เกิดอีกเลยได้ในสิ่งที่ไม่ดี
~ ความติดข้อง นำมาซึ่งความทุกข์ แต่เมตตา ไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้เลย เพราะว่า เป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ทั้งสิ้น และความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน คิดดู โกรธก็ยังไม่โกรธเลย เพราะเหตุว่า จะไปโกรธเพื่อนได้อย่างไร ถ้ายังเป็นเพื่อนกับเขา จะโกรธเขาหรือ? จะทำร้ายเขาหรือ? ก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ปัญญาก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่า อะไร เป็นอะไร และสิ่งที่เป็นอกุศล ปัญญาเห็นแล้ว มีหรือที่จะไม่ละ
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อการท่องจำ ไม่ใช่เพื่อการพูดตาม หรือว่า ไม่ใช่เพียงแค่อ่านแล้วก็สนทนากันเป็นเรื่องๆ แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ แต่ละคำลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจให้ถูกต้อง แม้เพียงคำเดียว ก็ผิด เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ฟัง ก็ที่จะต้องเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะดำรงรักษาพระธรรมวินัยไว้ได้
~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ
~ ละคลายความไม่ดีของตัวเองคือความไม่รู้ของเราซึ่งคนอื่นละไม่ได้ แล้วถ้าไม่คิดที่จะละ ก็สะสมเพิ่มพูนจนกระทั่งปรากฏอย่างที่เราเห็น ช่างร้ายเหลือเกินเวลาที่เห็นการกระทำที่ไม่ดีของใครคนหนึ่ง แต่ถ้าตัวเองทำเอง ไม่เห็นเลย และกำลังสะสมที่จะทำด้วยวันหนึ่งใครจะรู้
~ งานที่สำคัญที่สุดในชีวิตทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ ก็คืองานละกิเลสด้วยความเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น งานอื่นก็ชั่วครั้งชั่วคราวแค่เช้าถึงกลางวันบ่ายถึงเย็น แต่ว่างานนี้ทุกโอกาสและเป็นภาระหนักที่สุดใหญ่ที่สุดยากที่สุดด้วย แต่ถ้าไม่เริ่มทำก็ไม่มีทางที่จะทำงานนี้ได้สำเร็จ แต่งานนี้สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการเข้าใจพระธรรม
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
...ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และยินดีในความดีของท่าน อ.วิทยากรทุกๆ ท่าน และสมาชิกทุกท่าน ด้วยค่ะ...
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
การที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือชีวิตประจำวัน เมื่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ดีขึ้นทั้งกาย ทั้งวาจา เพราะใจมีความเข้าใจธรรมขึ้น ก็แสดงว่าทั้งหมด ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่การที่จะพูด สองคนพูดเรื่องเดียวกัน เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่คำพูดต่างกันได้ ตามจิตในขณะนั้น ซึ่งขณะที่ขัดเกลากิเลส ก็จะเป็นมิตรกับคนที่เราพูดด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้น คำพูดจากมิตร จะต่างกับคำพูดที่ไม่ได้คำนึงถึงคนฟังเลย
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธู สาธุ ขอรับ
การที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือชีวิตประจำวัน เมื่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ดีขึ้นทั้งกาย ทั้งวาจา เพราะใจมีความเข้าใจธรรมขึ้น ก็แสดงว่าทั้งหมด ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่การที่จะพูด สองคนพูดเรื่องเดียวกัน เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่คำพูดต่างกันได้ ตามจิตในขณะนั้น ซึ่งขณะที่ขัดเกลากิเลส ก็จะเป็นมิตรกับคนที่เราพูดด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธู สาธุ ขอรับ
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว มีทุกข์ทุกขณะ แต่ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเป็นปุถุชน ผู้ไม่รู้อะไรเลย ผู้มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งละความไม่รู้และค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งกิเลสดับหมดไม่เหลือ นี่คือความน่าอัศจรรย์ยิ่งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธู สาธุ ขอรับ
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูง ที่ท่านได้ถ่ายทอดพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศิษย์ได้เข้าใจเห็นคุณค่าของความจริงที่ทรงตรัสรู้และระลึกสำนึกในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต่างไปจากเมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลอาจารยคำปั่น อักษรวิไล และทุกท่านด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ