ท่านอาจารย์กล่าวว่า ชีวิตความเป็นจริงในวันหนึ่งๆ ของผู้เจริญสติปัฏฐาน จะเห็นความสัมพันธ์กันของสภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏ กับความนึกคิด และการเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าสติปัฏฐานจะเกิดสลับกับปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ยังเข้าใจไม่ค่อยชัดเจนในอรรถ ขอความกรุณาผู้ร่วมสนทนาค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ไม่แน่ใจนะครับว่าคำตอบจะตรงกับคำถามหรือไม่ แต่ลองอ่านที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ดูนะครับ
(ถ้าไม่สะดวกอ่าน คลิกฟังได้ครับ --> แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1986)
เวลาที่รู้สภาพที่แข็ง แล้วมีความเข้าใจว่าแข็งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไปนะคะ เพราะแต่ก่อนนี้ แข็งเคยเป็นถ้วยแก้ว แข็งเคยเป็นหนังสือ แข็งเคยเป็นช้อนส้อม แต่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง แข็งเป็นแข็ง เป็นสภาพแข็ง เป็นสภาพที่มีจริงอย่างหนึ่ง ขณะนั้นก็ไม่มีถ้วยแก้ว ไม่มีหนังสือ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง ขณะนั้นเนี้ยะค่ะก็จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้
ถาม : ขณะนั้นชื่อว่ารู้ อนัตตลักษณะหรือยังครับ
ไม่ต้องใช้ชื่อได้มั้ยคะ คือว่าการอบรมเจริญปัญญาเนี่ยนะค่ะ เพื่อไถ่ถอนความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่า คนที่สติปัฏฐานไม่เกิด บอกเค้าเท่าไรว่า ไม่มีตัวตนนะคะ เค้าก็ไม่เชื่อค่ะ ยังไงๆ ก็จะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าสำหรับคนที่ได้ฟังพระธรรมมากๆ แล้วก็รู้ว่า ขั้นฟังมีความเข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมะ แต่เวลาที่กระทบทั้งวัน ทำไมไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น มีขณะที่หลงลืมสติ คือไม่รู้ว่าเป็นธรรมกับขณะที่สติเกิด และขณะนั้นรู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ผิดปกติเลยนะคะเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ การอบรมสติปัฏฐานเนี่ยค่ะ สติจะเกิดสลับกับหลงลืมสติ แล้วจะมีความรู้ว่า แข็งธรรมดาๆ ซึ่งก็แข็งเป็นปกติ
เวลาที่สติปัฏฐานเกิดแข็งนั้นก็ไม่เปลี่ยน เพราะว่าถ้าเปลี่ยน จิตใจจะหวั่นไหว มึความรู้สึกกระเพื่อม จะด้วยประการใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ เพื่อละคลายแล้วก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเป็นปกติ ต้องให้รู้ความเป็นปกติด้วย แล้วก็รู้ความต่างกันว่า ขณะที่รู้แข็งในวันหนึ่งๆ หลงลืมสติเป็นอย่างไร และเวลาที่สติปัฏฐานเกิดเป็นอย่างไร ส่วนการที่จะใช้คำว่า รู้สภาพที่เป็นอนัตตาใช่มั้ย หรืออะไรอย่างเนี้ยนะคะ ก็คือว่า ขณะใดที่รู้ในลักษณะที่เป็นธรรม ขณะนั้นหนะค่ะ ... เป็นอนัตตาแล้ว ไม่ต้องมายืนยันกันอีกทีหนึ่งนะคะ ว่าขณะนั้นเป็นการรู้สภาพธรรมที่เป็นอนัตตา เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่กำลังเกิดดับ เพราะว่าสติเพิ่งเริ่มที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพียงบางลักษณะเท่านั้นเอง
เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ นะคะ แม้ในขณะนี้ค่ะ จะหลงลืมสติ แล้วก็สติจะเกิดเพียงชั่วขณะสั้นๆ ก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏตามปกติ ถ้าเป็นตามปกติจริงๆ นะคะ จะไม่หวั่นไหว แต่ถ้าผิดปกติเนี่ยค่ะจะหวั่นไหว เพราะฉะนั้น ปัญญาก็มีเครื่องทดสอบว่า ขณะนั้นเป็นความรู้ในลักษณะสภาพธรรมะที่ไม่ใช่ตัวตน ทั่วหรือยัง เพราะเหตุว่า บางทีก็ยังไม่รู้ลักษณะของนามธรรมนั้นบ้าง นามธรรมนี้บ้าง เพราะเหตุว่าระลึกยังไม่ทั่ว ซึ่งทุกคนจะพิสูจน์ได้
อย่างทางตานะคะ ที่พูดถึงบ่อยๆ หรือว่าเกือบจะทุกครั้ง เพื่อที่จะให้สติเริ่มเกิด เพราะว่าถ้าอยู่ที่อื่น แล้วไม่มีการพูดเรื่องสติสัมปชัญญะ ไม่มีการพูดเรื่องเห็น ที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก็จะหลงลืม ไม่มีการรู้เลยค่ะ ว่าขณะนี้เป็นเพียงสภาพรู้ทางตา ที่เห็น ชั่วขณะ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีจริงๆ ก็ปรากฏชั่วขณะเท่านั้นเอง ถ้าจะรู้สัญญาขันธ์หรือสัญญาเจตสิก ก็รู้ว่า ในขณะที่จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะใดที่ไม่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นนะคะเพราะจำสิ่งที่ปรากฏแล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวของสิ่งที่ปรากฏขณะใด ขณะนั้นก็สามารถที่จะรู้สภาพที่จำในเรื่องราวนั้นได้
ในชีวิตประจำวัน สภาพธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรมก็เกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกตรงลักษณะสภาพธรรมะเพียงปรากฏเกิดแล้วดับไปค่ะ
ขอขอบพระคุณ คุณ ajarnkruo กับคุณ wannee เป็นอย่างสูงค่ะ คำตอบตรงคำถาม
ค่ะ เข้าใจชัดเจนขึ้นมากค่ะ....
ขออนุโมทนาครับ
"...แข็งเป็นแข็ง เป็นสภาพแข็ง เป็นสภาพที่มีจริงอย่างหนึ่ง ขณะนั้นก็ไม่มีถ้วยแก้ว ไม่มีหนังสือ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง..."
กราบท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาคุณ ajarnkruo ครับ
ขออนุโมทนาทั้งคุณประกายมุกและทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ของจิตอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะนี้ถามว่าแข็งไหม ก็ตอบได้ว่าแข็ง แต่เป็นเราที่รู้ เป็นเราที่คิดนึกถึง สภาพธรรมที่ดับไปแล้ว และเมื่อกระทบแข็งแล้วก็คิดนึกต่อไปว่าคืออะไร เป็นบัญญัติ เป็นความคิดนึกต่อจากการรู้ปรมัตถธรรม ดังนั้นเมื่อสติปัฏฐานเกิดก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันนั่นแหละ
ไม่ได้ไปรู้ขณะอื่น เพราะปรมัตถธรม เช่น แข็ง ก็ปรากฏกับจิตอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แต่สติปัฏฐานก็ไมได้เกิดตลอดเวลา เมื่อรู้แล้วก็ดับไปก็หลงลืมสติ แต่ก็มีสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่จิตรู้เกิดสลับต่อ แต่ไม่ใช่ปัญญารู้ที่เป็นสติปัฏฐาน และก็มีความคิดนึก เรื่องราวคั่นระหว่าง จิตที่รู้ปรมัตถธรรมและสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ก็เป็นธรรมดาและเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน ขออนุโมทนาทุกท่านครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อนุโมทนาค่ะ.
ขอขอบพระคุณ คุณ แล้วเจอกัน เช่นกันค่ะ ชัดเจนค่ะ
ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ....