ปัญญาที่เกิดจากการฟังไม่ประจักษ์แจ้งว่าสิ่งที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสัตว์นั้น แท้จริงเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น ฉะนั้น การฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรมต้องพิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ พิจารณาแล้วพิจารณาอีกใคร่ครวญอย่างละเอียด จนกระทั่งเข้าใจคำที่แสดงลักษณะของสภาพธรรม เช่น คำว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตา” นั้นเป็นคำที่ถูกต้องที่สุดเพราะแสดงว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่งที่ปรากฏได้ทางตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีแดงสีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีขาว สีใส สีขุ่น ก็ต้องปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท เมื่อเห็นแล้วไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงมีอัตตสัญญาว่าเป็นคน สัตว์ วัตถุต่างๆ ขณะที่สนใจในสีต่างๆ นั้น ทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐาน เกิดความทรงจำในรูปร่างสัณฐาน จึงเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ ซึ่งรูปร่างที่เห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ นั้นก็ต้องมีหลายสี เช่น สีดำ สีขาว สีเนื้อ สีแดง สีเหลือง เป็นต้น ถ้าไม่จำหมายสีต่างๆ เป็นรูปร่างสัณฐาน ความสำคัญหมายว่าเป็นสัตว์บุคคล วัตถุต่างๆ ก็มีไม่ได้
สาธุ
ขออนุโมทนา
บุคคลใดโง่ ย่อมสำคัญความที่แห่งตนเป็นคนโง่ บุคคลนั้น พอจะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่าเป็นคนโง่แท้
ในวันหนึ่งๆ กิเลส เกิดบ่อย เกิดมาก จึงสะสม หมักดอง ส่วนกุศลเกิดน้อยมาก ชั่วขณะที่คิดจะให้ทาน พอเห็นวัตถุทานที่น่าพอใจ ก็เกิดอกุศลแทนกุศลแล้ว การสะสมฝ่ายกุศลก็ย่อมน้อยกว่า
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ