รบกวนครับผม สอบถามครับ
ตอนจิตเกิดอกุศลขึ้นมา ในการละต้องใช้ปัญญาในการละใช่ไหมครับ? หรือในการละต้องใช้ความคิด ไตร่ตรองเหตุและปัจจัยที่เกิดอกุศลครับ?
ขอบคุณครับ/ธนาเศรษฐ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นเรื่องของความดี แต่ความดีที่จะละกิเลสได้ด้วยปัญญา และ ปัญญาก็มีหลายระดับ จึงเป็นเรื่องรู้แล้วละ ไม่ใช่ไม่รู้แล้วจะไปละอะไรได้ และ กิเลส ก็ยากอย่างยิ่งที่จะละได้ เพราะฉะนั้น จะละกิเลสได้จริงต้องเห็นตัวกิเลสว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม รู้จักกิเลสตามความเป็นจริง แต่ปัญญาขั้นการฟัง ขั้นคิดนึก ยังทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย พระสาวกทั้งหลายกว่าจะละกิเลสได้ ละได้จริงๆ ต้องถึงความเป็นพระโสดาบัน ปัญญามากๆ เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมปัญญาฟังต่อไป คิดถูกต้องว่าเป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา จนวันหนึ่งก็ถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด ดังนั้นปัญญาขั้นการฟัง คิดนึก ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ได้ละ กิเลส แค่ค่อยๆเข้าใจขึ้นครับในขั้นการคิด ขั้นการฟัง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒- หน้าที่ ๓๔
มหาสุญญตสูตร
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว จากพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง และสิ่งที่มีจริง นั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไร ก็จริงอย่างนั้น เมื่อกล่าวถึงอกุศล แล้ว ไม่ได้อยู่ในตำราเลย แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่ง เตือนสำหรับผู้ที่ยังมีอกุศลอยู่ เตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้พิจารณาขัดเกลาอกุศลของตนเองได้อย่างละเอียด เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นอกุศลและโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นได้ พร้อมทั้งทรงแสดงให้เห็นถึงคุณของปัญญาซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริง ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งในพระธรรมวินัยนี้ เพราะเหตุว่า บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถดับหรือละซึ่งอกุศลทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่เกิดอีกเลย สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
แม้ว่าในชีวิตประจำวัน จะมากไปด้วยอกุศล ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะสะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้เหตุปัจจัยอกุศลก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่สำหรับผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา ก็ยังมีโอกาสที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ปัญญาก็สามารถเกิดแทรกในท่ามกลางของอกุศลซึ่งมีเป็นอย่างมากได้ ซึ่งขณะที่ปัญญาเกิด อกุศลก็เกิดไม่ได้ แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า แม้จะมีอกุศลมาก แต่พอมีเหตุปัจจัยให้ปัญญา เกิด ปัญญาก็เกิดทำกิจหน้าที่ของปัญญาแทนที่จะเป็นอกุศล ได้ และหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายอกุศลจนถึงการดับได้หมดสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสของชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการสะสมกุศลและอบรมเจริญปัญญา ในท่ามกลางอกุศลทั้งหลาย เนื่องจากชีวิตที่เกิดมา นั้น คุณค่าทั้งหมด อยู่ที่ความเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ความดีทั้งหลายเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะถ้ากุศลไม่เกิดแล้ว ก็จะเป็นโอกาสเกิดขึ้นของอกุศล และที่ไม่ควรลืมคือ ปัญญา จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะเคยได้ฟังมาแล้ว เห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมปัญญาต่อไป ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
ไม่สะสมปัญญาไม่มีทางที่อกุศลจะเบาบางลงได้
เว้นจากทุจริต ก็เพราะปัญญา
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณครับผม