[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 92
อุรควรรคที่ ๑
๑๐. ขัลลาติยเปติวัตถุ
ว่าด้วยพ่อค้าให้ผ้าแก่นางเปรต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 92
๑๐. ขัลลาติยเปติวัตถุ
ว่าด้วยพ่อค้าให้ผ้าแก่นางเปรต
หัวหน้าพ่อค้าถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[๙๕] ท่านเป็นใครหนออยู่ภายในวิมานนี้ ไม่ออกจากวิมานเลย ดูก่อนนางผู้เจริญ เชิญท่านออกมาเถิด ข้าพเจ้าจะขอดูท่านผู้ยืนอยู่ข้างนอก.
นางเวมานิกเปรตฟังคำถามดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
ดิฉันเป็นหญิงเปลือยกาย มีแต่ผมปิดบังไว้ กระดากอายที่จะออกภายนอก ดิฉันได้ทำบุญไว้น้อยนัก.
พ่อค้ากล่าวว่า
ดูก่อนนางผู้มีรูปงาม เอาเถอะ ข้าพเจ้าจะให้ผ้าเนื้อดีแก่ท่าน เชิญท่านนุ่งผ้านี้ แล้วจงออกมาภายนอก เชิญออกมาภายนอกวิมานเถิด ข้าพเจ้าจะขอดูท่านผู้ยืนอยู่ข้างนอก.
นางเวมานิกเปรตตอบว่า
ผ้านั้นถึงท่านจะให้ที่มือของดิฉันเอง ก็ไม่สำเร็จแก่ดิฉัน ถ้าในหมู่ชนนี้มีอุบาสกผู้มีศรัทธา เป็นสาวกของพระสัมมาสมพุทธเจ้า ขอท่านจงให้อุบาสกนั้นนุ่งห่มผ้าที่ท่านจะให้ดิฉัน แล้วอุทิศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 93
ส่วนกุศลให้ดิฉัน เมื่อท่านทำอย่างนั้น ดิฉันจึงจะได้นุ่งห่มผ้านี้ตามปรารถนา ประสบความสุข
พ่อค้าทั้งหลายได้ฟังดังนี้แล้ว จึงให้อุบาสกนั้นอาบน้ำ ลูบไล้แล้วให้นุ่งห่มผ้า แล้วอุทิศส่วนกุศลให้นางเวมานิกเปรตนั้น พระสังคีติกาจารย์เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า :-
ก็พ่อค้าเหล่านั้นยังอุบาสกนั้นให้อาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอม แล้วให้นุ่งห่มผ้า แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้นางเวมานิกเปรตนั้น ในทันตาเห็นนั้นเอง วิบากย่อมบังเกิดขึ้นแก่นางเวมานิกเปรตนั้น โภชนะ เครื่องนุ่งห่ม และน้ำดื่ม ย่อมบังเกิดขึ้น นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ลำดับนั้น นางมีสรีระบริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าสะอาด งามดีกว่าผ้าที่ทำจากแคว้นกาสี เดินยิ้มออกมาจากวิมาน ประกาศว่า นี้เป็นผลแห่งทักษิณา.
พ่อค้าเหล่านั้นถามว่า
วิมานของท่านงดงาม มีรูปภาพวิจิตรดี สว่างไสว ดูก่อนนางเทพธิดา พวกข้าพเจ้าถาม แล้วขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.
นางเทพธิดาตอบว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 94
เมื่อดิฉันเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายแป้งคั่วอันเจือด้วยน้ำมันแก่ภิกษุเที่ยวบิณฑบาต ผู้มีจิตซื่อตรง ดิฉันเสวยวิบากแห่งกุศลกรรมนั้นในวิมานนี้สิ้นกาลนาน ก็ผลบุญนั้น เดี๋ยวนี้ยังเหลือนิดหน่อย พ้น ๔ เดือนไปแล้ว ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ จักไปตกนรกอันเร่าร้อนสาหัส มี ๔ เหลี่ยม มี ๔ ประตู จำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นนรกนั้นล้วนเป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ดิฉันจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวยทุกข์เช่นนี้เป็นผลแห่งกรรมชั่ว เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกนั้น.
จบ ขัลลาติยเปติวัตถุที่ ๑๐
อรรถกถาขัลลาฏิยะเปติวัตถุที่ ๑๐
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตขัลลาฏิยะตนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า กา นุ อนฺโต วิมานสฺมึ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 95
ได้ยินว่า ในอดีตกาลในกรุงพาราณสี ยังมีหญิงผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพคนหนึ่ง รูปร่างสวย น่าดู น่าชม ประกอบด้วยผิวพรรณอันงดงามยิ่งนัก มีกำแห่งผมน่ารื่นรมย์ใจ. จริงอยู่ ผมของนางดำ ยาว ละเอียด อ่อนนุ่ม สนิท มีปลายตวัดขึ้น เกล้าเป็นสองแฉกสยายห้อยย้อยลงจนถึงสายรัดเอว. คนหนุ่มเห็นความงามแห่งเส้นผมของนางนั้น โดยมากมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง. ลำดับนั้น หญิง ๒ - ๓ คน ถูกความริษยาครอบงำ ทนต่อความงามของผมนางนั้นไม่ได้ จึงพากันปรึกษา เอาสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ล่อหญิงคนใช้ของนางนั่นเอง ให้หญิงคนใช้ให้ยาอันเป็นเหตุทำเส้นผมของนางให้หลุดร่วงไป. ได้ยินว่า หญิงคนใช้นั้นประกอบยานั้นกับผงสำหรับอาบน้ำ ในเวลานางไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ก็ได้ให้แก่นาง. นางเอาผงนั้นจุ่มที่รากผมแล้วดำลงไปในน้ำ. พอนางดำน้ำเท่านั้น เส้นผมพร้อมทั้งรากผมได้หลุดร่วงไป. และศีรษะของนางได้เป็นเช่นกับกระโหลกน้ำเต้าขม. ลำดับนั้น นางหมดเส้นผมโดยประการ ทั้งปวง เหมือนนกพิราบจกถอนขนหัว ฉะนั้น น่าเกลียดพิลึก เพราะความละอาย จึงไม่อาจเข้าไปในเมือง เอาผ้าคลุมศีรษะ สำเร็จการอยู่ในที่แห่งหนึ่งนอกเมือง พอ ๒ - ๓ วันผ่านไป นางหมดความละอาย กลับจากที่นั้นบีบเมล็ดงา กระทำการค้าน้ำมัน และทำการค้าสุราเลี้ยงชีพ. วันหนึ่ง เมื่อคน ๒ - ๓ คนเมาสุรา หลับสนิท นางจึงลักเอาผ้าที่คนเหล่านั้นนุ่งไว้หลวมๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 96
ภายหลังวันหนึ่ง นางเห็นพระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง กำลังเที่ยวบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใสจึงนำท่านไปยังเรือนของตน ให้นั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ได้ถวายแป้งที่บีบในรางผสมกับน้ำมันงา. เพื่อจะอนุเคราะห์นาง พระเถระจึงรับประเคนแป้งผสมน้ำมันงานั้นฉัน. นางมีจิตเลื่อมใส ได้ยืนกั้นร่ม. และพระเถระนั้น เมื่อจะทำนางให้มีจิตร่าเริง จึงทำอนุโมทนากถาแล้วหลีกไป. ก็ในเวลาที่อนุโมทนานั่นแหละ หญิงนั้น ได้ตั้งความปรารถนาว่า พระคุณเจ้า ขอให้เส้นผมของดิฉันยาวละเอียด นุ่มสนิท ตวัดปลายเถิด.
กาลต่อมา นางถึงแก่กรรม เพราะผลของกรรมที่คละกัน จึงเกิดเป็นหญิงอยู่โดดเดี่ยวในวิมานทอง ท่ามกลางมหาสมุทร. เส้นผมของนางสำเร็จตามอาการที่เธอปรารถนานั้นแหละ. แต่เพราะนางลักเอาผ้าของพวกมนุษย์ นางจึงได้เป็นหญิงเปลือย. นางเกิดบ่อยๆ ในวิมานทองนั้น เป็นหญิงเปลือยอยู่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง.
ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราเสด็จอุบัติในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถีโดยลำดับ พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถี ๗๐๐ คน แล่นเรือไปสู่มหาสมุทร มุ่งไปยังสุวรรณภูมิ. นาวาที่พวกพ่อค้านั้นขึ้นไปถูกกำลังลมพัดผันให้ปั่นป่วน จึงหมุนไปข้างโน้นข้างนี้ จนถึงประเทศที่นางเวมานิกเปรตนั้นอยู่. ลำดับนั้นนางเวมานิกเปรตนั้นจึงแสดงตนแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 97
พวกพ่อค้านั้น พร้อมด้วยวิมาน. หัวหน้าพ่อค้าเห็นดังนั้น เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาว่า :-
น้องสาวเป็นใครหนอ อยู่ในวิมานนี้ ไม่ยอมออกจากวิมานเลยนี่ น้องสาว จงออกมาเถิดน้อง พี่อยากจะเห็นน้องข้างนอก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กา นุ อนฺโตวิมานสฺมึ ติฏฺนฺตี ความว่า หัวหน้าพ่อค้าถามว่า น้องอยู่ภายในวิมาน เป็นใครหนอ เป็นหญิงมนุษย์ หรืออมนุษย์. บทว่า นูปนิกฺขมิ ความว่า น้องไม่ยอมออกจากวิมานเลย. บทว่า อุปนิกฺขมสฺสุ ภทฺเท ปสฺสาม ตํ พหิฏฺิตํ ความว่า น้อง พวกเราปรารถนาจะเห็นน้องออกมาอยู่ข้างนอก เพราะฉะนั้น น้องจงออกมาจากวิมานเถิด. บาลีว่า อุปนิกฺขมสฺส ภทฺทนฺเต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ขอความเจริญจงมีแก่น้องสาวเถิด.
ลำดับนั้น นางเวมานิกเปรตนั้น เมื่อจะประกาศตามที่ตนไม่อาจจะออกไปข้างนอกแก่พ่อค้านั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
ดิฉันเป็นหญิงเปลือยกาย มีแต่ผมปิดบังไว้ อึดอัด ละอาย ที่จะออกไปข้างนอก ดิฉันได้ทำบุญไว้น้อยนัก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฏียามิ ความว่า ดิฉันเป็นหญิงเปลือยกาย อึดอัดใจ ลำบากที่จะออกไปข้างนอก. บทว่า หรายามิ แปลว่า ละอาย. บทว่า เกเสหมฺหิ ปฏิจฺฉนฺนา ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 98
ดิฉันมีเส้นผมปิดบังไว้ คือ มีผมคลุมร่างกาย. บทว่า ปุญฺํ เม อปฺปกํ กตํ ความว่า ดิฉันทำกุศลกรรมไว้น้อย คือ เล็กน้อย อธิบายว่า เพียงถวายแป้งผสมน้ำมันเท่านั้น.
ลำดับนั้น พ่อค้าประสงค์จะให้ผ้าห่มของตนแก่นางเวมานิกเปรตนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
แน่ะ น้องสาวคนสวย เอาเถอะ พี่จะให้ผ้าห่มเนื้อดีแก่น้อง เชิญน้องนุ่งผ้าผืนนี้แล้ว จงออกมาข้างนอก เชิญออกมาข้างนอกวิมานเถิด น้อง พี่จะขอพบน้องข้างนอก. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท แปลว่าเชิญเถิด. บทว่า อุตฺตรียํ แปลว่า ผ้าคลุมกาย. อธิบายว่า ผ้าห่ม. บทว่า ททามิ เต แปลว่า พี่จะให้แก่น้อง. บทว่า อิทํ ทุสฺสํ นิวาสย ได้แก่ น้องจงนุ่งผ้าห่มผืนนี้ของพี่เถิด. บทว่า โสภเณ แปลว่า แน่ะน้องผู้มีรูปร่างสวย.
ก็แล พ่อค้าครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำเอาผ้าห่มของตนไปให้แก่นาง. นางเวมานิกเปรต เมื่อจะแสดงความที่พ่อค้าผู้มอบผ้าห่มให้อย่างนั้น เป็นการอนุเคราะห์แก่ตน และการที่พ่อค้าให้ผ้าห่มอย่างนั้น สำเร็จประโยชน์ จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
ผ้านั้น ถึงพี่จะให้ที่มือของดิฉันเอง ด้วยมือของพี่ ก็ไม่สำเร็จแก่น้องได้ดอก ถ้าในหมู่มนุษย์นี้ มีอุบาสกผู้มีศรัทธา เป็นพระสาวกของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 99
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพี่จงให้แก่อุบาสกนั้นนุ่งห่มผ้าที่พี่จะให้แก่น้องแล้ว ค่อยอุทิศส่วนกุศลให้น้อง เมื่อพี่ทำอย่างนั้น น้องก็จะได้นุ่งห่มผ้านี้ตามปรารถนา ประสพความสุข.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺเถน หตฺเถ เต ทินฺนํ น มยฺหํ อุปกปฺปติ ความว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ทานที่พี่ให้ในมือของน้อง ย่อมไม่สำเร็จ คือ ย่อมไม่เผล็ดผล ได้แก่ ไม่ควรเป็นเครื่องอุปโภคแก่ดิฉัน. บทว่า เอเสตฺถุปาสโก สทฺโธ ความว่า ผู้นี้ชื่อว่า อุบาสก เพราะถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และชื่อว่า ผู้มีศรัทธา เพราะ ประกอบด้วยความเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ย่อมอยู่ในที่นี้ คือ ในหมู่ประชุมชนนี้. บทว่า เอตํ อจฺฉาทยิตฺวาน มม ทกฺขิณมาทิสา ความว่า หัวหน้าพ่อค้าให้อุบาสกนั้นนุ่งห่มผ้าที่จะให้แก่เรา แล้วให้ทักษิณานั้น คือ ปัตติทานมัย อุทิศถึงฉัน. บทว่า ตถาหํ สุขิตา เหสฺสํ ความว่า เมื่อท่านทำอย่างนั้น ดิฉันก็จะมีความสุข นุ่งห่มผ้าทิพย์ จักได้รับความสุข.
พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น จึงให้อุบาสกนั้นอาบลูบไล้แล้ว ให้นุ่งผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายเมื่อจะประกาศข้อความนั้น จึงได้กล่าว ๓ คาถาว่า:-
ก็พ่อค้าเหล่านั้น ยังอุบาสกนั้นให้อาบน้ำ ลูบไล้ด้วยของหอม แล้วให้นุ่งห่มผ้า อุทิศส่วนกุศลไปให้นางเวมานิกเปรตนั้น ในทันตาเห็นนั่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 100
เอง วิบากย่อมเกิดขึ้นแก่นางเวมานิกเปรตนั้น โภชนะเครื่องนุ่งห่ม และน้ำดื่ม ย่อมเกิดขึ้น นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ในลำดับนั้น นางมีร่างกายบริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าอันสะอาด งามกว่าผ้าแคว้นกาสี เดินยิ้มออกมาจากวิมานประกาศว่า นี้เป็นผลแห่งทักษิณา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ได้แก่ ยังอุบาสกนั้น. จ ศัพท์ เป็นเพียงนิบาต. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า เต ได้แก่ พ่อค้าเหล่านั้น. บทว่า วิลิมฺเปตฺวาน ได้แก่ ไล้ทาด้วยของหอมชนิดดีเลิศ. บทว่า วตฺเถหจฺฉาทยิตฺวาน ความว่า ให้บริโภคโภชนะพร้อมทั้งกับข้าวอันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แล้วให้นุ่งห่มผ้า คือ ให้นุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ได้แก่ ให้ผ้า ๒ ผืน. บทว่า ตสฺสา ทกฺขิณมาทิสุํ ได้แก่ อุทิศส่วนบุญแก่นางเวมานิกเปรตนั้น.
บทว่า อนุ ในบทว่า สมนนฺภนุทฺทิฏฺเ นี้ เป็นเพียงนิบาต, อธิบายว่า ในทันใดที่ได้เห็นทักษิณานั้นนั่นแล. บทว่า วิปาโก อุปปชฺชถ ความว่า วิบาก คือผลแห่งทักษิณา ได้เกิดขึ้นแก่นางเวมานิกเปรตนั้น. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า วิบากเป็นเช่นไร นางเวมานิกเปรตจึงกล่าวว่า โภชนะเครื่องนุ่งห่ม และน้ำดื่มเกิดขึ้นแล้ว. มีวาจาประกอบความว่า โภชนะอันเช่นกับโภชนะทิพย์ มีประการต่างๆ ผ้าอันเช่นกับผ้าทิพย์ซึ่งรุ่งโรจน์ด้วยสีหลายหลาก และน้ำดื่มมีหลายนิด ผลเช่นนี้ย่อมเกิดเพราะทักษิณา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 101
บทว่า ตโต ได้แก่ ภายหลังแก่การได้รับวัตถุมีโภชนะ ตามที่ได้กล่าวแล้ว. บทว่า สุทฺธา ได้แก่ มีร่างกายสะอาดด้วยการอาบน้ำ. บทว่า สุจิวสนา ได้แก่ นุ่งห่มผ้าอันสะอาดดี. บทว่า กาสิกุตฺตมธารินี ได้แก่ นุ่งห่มผ้าชนิดดี แม้กว่าผ้าของชาวกาสี. บทว่า หสนฺตี ความว่า นางเวมานิกเปรต พลางยิ้มแย้มออกมาจากวิมาน พร้อมการประกาศว่า ดูซิ ท่านทั้งหลาย นี่เป็นผลพิเศษแห่งทักษิณาของพวกท่านเป็นอันดับแรก.
ลำดับนั้น พวกพ่อค้านั้นได้เห็นผลบุญโดยประจักษ์อย่างนี้ จึงเกิดอัศจรรย์จิต อย่างไม่เคยมีมาก่อน เกิดความเคารพนับถือมากในอุบาสกนั้น พากันการทำอัญชลีกรรมเข้าไปยังใกล้อุบาสกนั้น. ฝ่ายอุบาสกให้พ่อค้าเหล่านั้นเลื่อมใสในธรรมกถาโดยประมาณยิ่ง และให้ตั้งอยู่ในสรณะและศีล. พวกพ่อค้านั้นจึงถามถึงกรรมที่นางเวมานิกเปรตนั้นกระทำไว้ ด้วยคาถานี้ว่า :-
วิมานของท่านช่างงดงาม มีรูปภาพอันวิจิตรด้วยดี สว่างไสว ดูก่อนนางเทพธิดา อันพวกข้าพเจ้าทั้งหลายถามแล้ว ขอท่านจงบอกเถิดว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไร?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุจิตฺตรูปํ ได้แก่ มีรูปภาพอันวิจิตรที่เขาจัดแจงไว้ด้วยดีแล้ว โดยเป็นรูปช้าง ม้า สตรี และบุรุษเป็นต้น และโดยมาลากรรมและลดากรรมเป็นต้น. บทว่า รุจิรํ ได้แก่ น่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 102
รื่นรมย์ น่าชมเชย. บทว่า กิสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ ความว่า นี้เป็นผลของกรรมเช่นไร คือ เป็นผลของทานมัย หรือของศีลมัย.
นางเทพธิดานั้นถูกพวกพ่อค้านั้นถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกผลกรรมทั้ง ๒ อย่างนั้นว่า นี้เป็นผลของกุศลกรรมนิดหน่อยที่ดิฉันกระทำไว้เป็นอันดับแรก แต่สำหรับอกุศลกรรมจักเป็นเช่นนี้ในนรกต่อไป ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
เมื่อดิฉันเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายแป้งคั่วอันเจือด้วยน้ำมัน แก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต มีจิตซื่อตรง ดิฉันได้เสวยวิบากแห่งกุศลกรรมนั้นในวิมานนี้สิ้นกาลนาน ก็ผลบุญนั้น เดี๋ยวนี้ยังเหลืออยู่นิดหน่อย พ้น ๔ เดือนไปแล้ว ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ จักไปตกนรกอันเร่าร้อนแสนสาหัส มี ๔ เหลี่ยม ๔ ประตู แบ่งเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นแห่งนรกนั้นล้วนแล้วด้วยเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ดิฉันจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวยทุกข์เช่นนี้ เป็นผลของกรรมชั่ว เพราะฉะนั้นดิฉันจึงเศร้าโศกอย่างแรงกล้า ที่จะไปเกิดในนรกนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 103
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุโน จรมานสฺส ได้แก่ แก่ภิกษุผู้ทำลายกิเลสรูปหนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต. บทว่า โทณินิมฺมชฺชนํ ซึ่งแป้งคั่วมีน้ำมันซึมซาบอยู่. บทว่า อุชุภูตสฺส ความว่า ชื่อว่าถึงความเป็นผู้ซื่อตรง เพราะไม่มีกิเลสเครื่องทำความคดโกงแห่งจิต. บทว่า วิปฺปสนฺเนน เจตสา ความว่า ผู้มีจิตเลื่อมใสดีด้วยการเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม.
ม อักษรในบทว่า ทีฆมนฺตรํ นี้กระทำการต่อบท, อธิบายว่า ระยะกาลนาน คือตลอดกาลนาน. บทว่า ตญฺจ ทานิ ปริตฺตกํ ความว่า ผลบุญ ๕ อย่าง บัดนี้มีนิดหน่อย คือเหลืออยู่น้อย เพราะวิบากแห่งกรรมมีผลสุกงอม ไม่นานนักก็จากที่นี้ไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พ้น ๔ เดือนไปแล้ว ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ ดังนี้เป็นต้น. นางเปรตชี้แจงว่า พ้นจาก ๔ เดือน คือ ในเดือนที่ ๕ ถัดจาก ๔ เดือนไป ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้. บทว่า เอกนฺตกุฏกํ ความว่า จักมีทุกข์แสนสาหัส เพราะจะต้องรับผลที่ไม่น่าปรารถนาอย่างแสนสาหัสนั่นแล. บทว่า โฆรํ แปลว่า ร้ายแรง. บทว่า นิรยํ ความว่า นรก อันได้นามว่า นิรยะ เพราะทำวิเคราะห์ว่า เป็นที่ไม่มีความเจริญ คือความสุข. บทว่า ปปติสฺสหํ ตัดเป็น ปปติสฺสามิ อหํ ข้าพเจ้าจักตกนรก. ก็ท่านกล่าวว่า จตุกฺกณฺณํ ดังนี้เป็นต้น เพื่อจะแสดงนรกนั้นโดยสรุป เพราะท่านแสดงถึงอเวจีมหานรก ในคำว่า นิรยํ นี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุกฺกณฺณํ แปลว่า ๔ เหลี่ยม. บทว่า จตุทฺวารํ ได้แก่ ประกอบด้วยประตู ๔ ด้าน ใน ๔ ทิศ. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 104
วิภตฺตํ แปลว่า จำแนกด้วยดี. บทว่า ภาคโส แปลว่า โดยจำแนก. บทว่า มิตํ แปลว่า เป็นห้องๆ บทว่า อโยปาการปริยนฺตํ แปลว่า ล้อมด้วยกำแพงที่ทำด้วยเหล็ก. บทว่า อยสา ปฏิกุชฺชิตํ แปลว่า ครอบแผ่นเหล็กล้วนๆ.
บทว่า เตชสา ยุตา ได้แก่ มีเปลวไฟลุกโพลงอยู่ไม่ขาดระยะ ด้วยไฟกองใหญ่ที่โพลงรอบด้าน. บทว่า สมฺนฺตา โยชนสตํ ได้แก่ แผ่ไปตั้ง ๑๐๐ โยชน์ในทุกทิศภายนอกโดยรอบอย่างนี้. บทว่า สพฺพทา แปลว่า ตลอดกาลทุกเมื่อ. บทว่า ผริตฺวา ติฏฺติ แปลว่า ซึมซาบตั้งอยู่. บทว่า ตตฺถ โยค มหานรกนั้น. บทว่า เวทิสฺสํ แปลว่า จักได้รับ คือจักได้เสวย. บทว่า ผลญฺจ ปาปกมฺมสฺส ความว่า การเสวยทุกข์เช่นนี้นี้ เป็นผลของกรรมชั่วที่ฉันได้ทำไว้.
เมื่อนางเทพธิดานั้นประกาศผลแห่งกรรมที่ตนได้ทำไว้ และภัยที่จะตกนรกในอนาคตอย่างนี้แล้ว อุบาสกนั้นมีความกรุณาเตือนใจ ให้คิดว่า เอาเถอะเราจักเป็นที่พึ่งของนาง แล้วกล่าวว่า ดูก่อนแม่เทพธิดา เธอสำเร็จความปรารถนาทุกอย่าง กลายเป็นผู้ประกอบด้วยสมบัติอันยิ่ง ด้วยอำนาจทานของเราผู้เดียวเท่านั้น แต่บัดนี้ เจ้าให้ทานแก่อุบาสกเหล่านี้แล้ว หวนระลึกถึงคุณแห่งพระศาสดา จักหลุดพ้นจากความเกิดในนรกได้. นางเปรตนั้นมีใจร่าเริงยินดีกล่าวว่า ดีละ แล้วให้อุบาสกเหล่านั้นอิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำอันเป็นของทิพย์ ได้ให้ผ้าทิพย์ และแก้วหลากชนิด. นางได้ ถวายคู่ผ้าทิพย์ มุ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ในมือของอุบาสกเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 105
แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านเจริญ นางเวมานิกเปรตตนหนึ่ง ขอฝากไหว้ด้วยเศียรเกล้าแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล้ว จึงไปกรุงสาวัตถีแล้วส่งการถวายบังคมไปถึงพระคาสดาว่า ขอท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระศาสดาตามคำของเราเถิด. และในวันนั้นนั่นเอง นางได้นำเอาเรือนั้นไปจอดยังท่าที่อุบาสกเหล่านั้น ปรารถนา ด้วยอิทธานุภาพของตน.
ลำดับนั้น พ่อค้าเหล่านั้นออกจากท่านั้นแล้ว ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ เข้าไปยังพระเชตวัน ถวายคู่ผ้านั้นแด่พระศาสดา และได้ให้พระองค์ทรงทราบถึงการฝากไหว้ของนางแล้วกราบทูลเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงกระทำ เรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปัตติเหตุแล้วทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร แก่บริษัทผู้พรั่งพร้อมกันอยู่. พระธรรมเทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน. ก็ในวันที่ ๒ อุบาสกเหล่านั้นได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานแล้ว อุทิศส่วนบุญให้แก่นางเปรตนั้น. และนางได้จุติจากเปตโลกนั้นแล้ว บังเกิดในวิมานทอง ในภพชั้นดาวดึงส์อันโชติช่วงไปด้วยรัตนะต่างๆ มีนางอัปสร ๑๐๐๐ นางเป็นบริวาร.
จบ อรรถกถาขัลลาฏิยะเปติวัตถุที่ ๑๐