นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ขอเรียนถามค่ะ เกี่ยวกับ คำว่า “สมันตจักษุ ” คืออะไรคะ ช่วยกรุณาแยกให้ด้วยค่ะ ว่าประกอบด้วยคำใดบ้าง แต่ละคำแปลว่าอะไร และช่วยกรุณายกตัวอย่าง คำนี้ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ให้ด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำอธิบายและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สมันตจักษุ หมายถึง พระปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีอีกชื่อหนึ่งว่า สัพพันญุตตญาณ ซึ่ง มีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้า ทรงมีพระสมันตจักษุ เพราะรู้สภาพธรรมที่เป็นสังขตธรรม และ อสังขตธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นจิต เจตสิก รูปและนิพพาน พระองค์ทรงจำแนก ธรรมแต่ละอย่าง ตามความเป็นจริงที่พระองค์ทรงรู้ด้วยพระปัญญา และ พระองค์ทรงรู้สภาพธรรมที่เป็นเรื่องราว ที่เป็นบัญญัติ เรื่องราวทางโลกสมมติทุกอย่างเพราะฉะนั้น จึงเรียก จักษูุ คือ ปัญญาของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า สมันตจักษุ ครับ สมดังพระไตรปิฎก อธิบาย จักษุ ห้าประการ รวมทั้งสมันตจักษุว่าคืออะไร เชิญอ่าน ครับ
พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยจักษุ ห้า อันประกอบด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๑๔
ปัญญาจักษุ มี ๕ อย่าง คือ พุทธจักษุ ๑ สมันตจักษุ ๑ ญาณจักษุ ๑ ทิพยจักษุ ๑ ธรรมจักษุ ๑
คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อตรวจดูสัตวโลก ได้เห็นแล้วแลด้วยพุทธจักษุ ดังนี้ ชื่อว่า พุทธจักษุ คำนี้ว่า สัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ ดังนี้ ชื่อว่าสมันตจักษุ คำนี้ว่า ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ชื่อว่า ญาณจักษุ คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้เห็นแล้วแล ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ดังนี้ ชื่อว่า ทิพยจักษุ มรรคญาณเบื้องต่ำ ๓ นี้มาในคำว่า ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ไม่มีมลทิน เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ ชื่อว่า ธรรมจักษุ
อธิบายความหมายของสมันตจักษุ มีข้อความว่าพระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ ในบทว่า สมนฺตจกฺขุ พระผู้มีพระภาคทรงเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึงเข้าถึงพร้อมประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั้นพระตถาคตพระองค์นั้น ไม่ทรงเห็นอะไรๆ น้อยหนึ่งในโลกนี้อนึ่ง ไม่ทรงรู้อะไรๆ ที่ไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มีเลยต้องฟังจนถึงประโยคสุดท้าย ที่ว่า “ไม่มีเลย” ที่ว่า ไม่ทรงเห็นอะไรๆ น้อยหนึ่งในโลกนี้ อนึ่ง ไม่ทรงรู้อะไรๆ ที่ไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มีเลยพระตถาคตทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ธรรมชาติใดที่ควรแนะนำมีอยู่ พระตถาคตทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมชาตินั้นแล้ว เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงชื่อว่า มีพระสมันตจักษุ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สมันตจักขุ มาจากคำว่า สมันตะ (สมนฺต รอบด้าน โดยรอบ โดยทั่วโดยประการทั้งปวง) กับ คำว่า จักขุ รวมกันเป็น สมันตจักขุ เป็นคุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีปกติเห็นธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง ทรงเป็นผู้ประกอบด้วยพระสัพพัพญุตญาณ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยพระองค์เอง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาก็เพื่อที่จะอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก พระองค์จึงมีวาจาสัจจะ มีคำจริง ทรงแสดงความจริง เพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่ตั้งใจฟังเข้าใจความจริง พระธรรมแต่ละคำ มีค่า เพราะทำให้ผู้ได้ฟังรู้ความจริง จากที่เคยถูกปกปิดหุ้มห่อด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
สมันตจักษุ พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง แต่ พระองค์ทรงแสดงบางอย่างที่เป็นประโยชน์ ค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขออนุโมทนาครับ