[คำที่ ๒๙๘] นิยฺยานิก
โดย Sudhipong.U  11 พ.ค. 2560
หัวข้อหมายเลข 32418

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “นิยฺยานิก”

คำว่า นิยฺยานิก เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านออกเสียงตามภาษาบาลีว่า นี - ยา - นิ - กะ] แปลว่า ธรรมที่นำออกจากทุกข์ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงดับกิเลสตามลำดับขั้น และเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่นำออกจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง เพราะทั้งหมดเป็นไปเพื่อปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวงได้

ข้อความจาก ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ วิตักกสูตร มีว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมเครื่องนำออกจากทุกข์อย่างยอดเยี่ยม มีอริยมรรค เป็นอันดับแรก มี ๗ ส่วน เป็น ๓๗ ประเภท (โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ) สงเคราะห์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความสลัดออกจากวัฏฏทุกข์โดยไม่เหลือ ธรรมนั้น ย่อมนำผู้ปฏิบัติ ออกจากวัฏฏทุกข์ โดยส่วนเดียว

ข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน อุปปัชชันติสูตร แสดงว่า ความเห็นของพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย ไม่สามารถนำออกจากทุกข์ได้ พวกเดียรถีย์ทั้งหลายและสาวกของพวกเดียรถีย์ มีความเห็นชั่วช้า ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ มีดังนี้

“หิ่งห้อยนั้น ส่องแสงสว่างอยู่ชั่วเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว หิงห้อยนั้น ก็อับแสง และไม่สว่างได้เลย พวกเดียรถีย์ สว่างเหมือนหิ่งห้อยนั้น ตราบเท่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก แต่เมื่อใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกเดียรถีย์และแม้สาวกของพวกเดียรถีย์ เหล่านั้น ย่อมไม่หมดจด พวกเดียรถีย์ มีทิฏฐิชั่ว ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์”


พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียด ลึกซึ้ง เป็นธรรมเฉพาะบุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญาเท่านั้นถึงจะรู้ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ หลังจากที่ทรงเสวยวิมุตติสุข (สุขอันเกิดจากความหลุดพ้นจากกิเลส) ณ บริเวณโพธิมณฑล เป็นเวลา ๗ สัปดาห์แล้ว พระองค์ทรงมีพระดำริว่าสัตว์โลกมากไปด้วยกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) และพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้ จึงไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรมแก่สัตว์โลก ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระดำริของพระองค์ คิดว่า โลกจะพินาศอย่างมาก หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่แสดงพระธรรม จึงกราบทูลอาราธนา (เชื้อเชิญ) ให้พระองค์แสดงพระธรรม โดยให้เหตุผลว่า ผู้ที่มีปัญญาสะสมมาที่จะตรัสรู้มีอยู่ ขอพระองค์โปรดทรงแสดงพระธรรมแก่เขา พระองค์จึงทรงรับอาราธนาที่จะทรงแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ตั้งแต่ทรงเริ่มประกาศพระศาสนาเป็นต้นมาจน ถึงกาลเวลาที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน รวม ๔๕ พรรษา เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกโดยตลอด ซึ่งมีบุคคลผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มากมายอย่างนับไม่ถ้วน ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม จากพระมหากรุณาที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์ด้วยการแสดงพระธรรมให้เข้าใจตามความเป็นจริง หรือ ถ้ายังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็สะสมปัญญาเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า เป็นประโยชน์โดยส่วนเดียว

ควรที่จะได้พิจารณาว่า โอกาสที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องยาก การได้ฟังพระธรรม ก็เป็นเรื่องยาก และตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ยังเป็นผู้ไม่พ้นจากทุกข์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุ คือ กิเลส เพราะมีกิเลส จึงยังไม่พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เพราะยังมีกิเลสนี้เอง จึงฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น ทั้งหมด เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะสามารถนำออกไปจากทุกข์ทั้งปวงได้จริง นำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้ตามลำดับขั้น

ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นสาระที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ ความเข้าใจพระธรรม ผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม จึงฟังพระธรรมด้วยความตั้งใจเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรม บุคคลผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเป็นปกติบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง ให้เวลากับพระธรรม ย่อมเป็นเหตุให้ความเข้าใจเจริญขึ้น ขณะที่เกิดความเข้าใจ ขณะนั้นจิตเป็นกุศลประกอบด้วยปัญญา ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ สามารถป้องกันต้านทานอกุศลได้ในขณะนั้น เมื่อมีความเข้าใจเจริญขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง รู้ว่าสิ่งใดควรกระทำ สิ่งใดควรเว้น อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ แล้วกระทำสิ่งที่ควรกระทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น ย่อมจะทำให้เป็นผู้อยู่เป็นสุขตามสมควร ดำเนินชีวิตเป็นไปในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น และรู้สภาพธรรมที่มีจริง ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นชีวิตที่ประเสริฐกว่าชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมหรือศึกษาแต่ศึกษาผิด ปฏิบัติผิดตามหนทางที่ผิดต่างๆ มากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรๆ เลย อกุศลธรรมทั้งหลายยังเกิดขึ้นได้ตามการสะสม จนกว่าจะมีปัญญาเจริญจนถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทั้งหมดทั้งปวงนี้ จะมีขึ้นได้ เป็นไปได้ ก็เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นการฟังพระธรรมไว้ สะสมไว้ เพราะปัญญากำลังเข้าใจไปเรื่อยๆ ในขณะที่มีการฟัง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้าซึ่งไม่สูญหายไปไหนเลย.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 12 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ