[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 424
๔. ชุณหสูตร
ว่าด้วยยักษ์ประหารศีรษะพระสารีบุตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 424
๔. ชุณหสูตร
ว่าด้วยยักษ์ประหารศีรษะพระสารีบุตร
[๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กโปตกันทราวิหาร ก็สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 425
มีผมอันปลงแล้วใหม่ๆ นั่งเข้าสมาธิอย่างหนึ่งอยู่กลางแจ้งในคืนเดือนหงาย.
[๙๔] ก็สมัยนั้น ยักษ์สองสหายออกจากทิศอุดรไปยังทิศทักษิณด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมีผมอันปลงแล้วใหม่ๆ นั่งอยู่กลางแจ้งในคืนเดือนหงาย ครั้นแล้วยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า ดูก่อนสหาย เราจะประหารที่ศีรษะแห่งสมณะนี้ เมื่อยักษ์นั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ยักษ์ผู้เป็นสหายได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า ดูก่อนสหาย อย่าเลย ท่านอย่าประหารสมณะเลย ดูก่อนสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก แม้ครั้งที่ ๒... แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์นั้นก็ได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า ดูก่อนสหาย เราจะประหารที่ศีรษะแห่งสมณะนี้ แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ผู้เป็นสหายก็ได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า ดูก่อนสหาย อย่าเลย ท่านอย่าประหารสมณะเลย ดูก่อนสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ลำดับนั้นแล ยักษ์นั้นไม่เชื่อยักษ์ผู้เป็นสหาย ได้ประหารศีรษะแห่งท่านพระสารีบุตรเถระ ยักษ์นั้นพึงยังพญาช้างสูงตั้ง ๗ ศอก หรือ ๘ ศอกให้จมลงไปก็ได้ หรือพึงทำลายยอดภูเขาใหญ่ก็ได้ด้วยการประหารนั้น ก็แลยักษ์นั้นกล่าวว่า เราย่อมเร่าร้อน แล้วได้ตกลงไปสู่นรกใหญ่ในที่นั้นเอง.
[๙๕] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นยักษ์นั้นประหารที่ศีรษะแห่งท่านพระสารีบุตร ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ แล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านพึงอดทนได้หรือ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกข์อะไรๆ ไม่มีหรือ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูก่อนอาวุโสโมคคัลลานะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 426
ผมพึงอดทนได้ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ แต่บนศีรษะของผม มีทุกข์หน่อยหนึ่ง.
ม. ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ท่านพระสารีบุตรมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ยักษ์ตนหนึ่งได้ประหารศีรษะของท่านในที่นี้ การประหารเป็นการประหารใหญ่เพียงนั้น ยักษ์นั้นพึงยังพญาช้างสูงตั้ง ๗ ศอก ๘ ศอกให้จมลงไปก็ได้ หรือพึงทำลายยอดภูเขาใหญ่ก็ได้ด้วยการประหารนั้น ก็แล ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส โมคคัลลานะ ผมพึงอดทนได้ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ แต่บนศีรษะของผมมีทุกข์หน่อยหนึ่ง.
สา. ดูก่อนอาวุโสโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ท่านมหาโมคคัลลานะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ที่เห็นยักษ์ ส่วนผมไม่เห็นแม้ซึ่งปิศาจผู้เล่นฝุ่นในบัดนี้.
[๙๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับการเจรจาปราศรัยเห็นปานนี้แห่งท่านมหานาคทั้งสองนั้น ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์บริสุทธิ์ล่วงโสตธาตุของมนุษย์ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
จิตของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน.
จบชุณหสูตรที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 427
อรรถกถาชุณหสูตร
ชุณหสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กโปตกนฺทรายํ ได้แก่ ในวิหารมีชื่ออย่างนั้น. ได้ยินว่า เมื่อก่อนนกพิราบเป็นอันมากอยู่ในซอกเขานั้น. ด้วยเหตุนั้น ซอกเขานั้นจึงเรียกกันว่า กโปตกันทรา. ภายหลังถึงเขาสร้างวิหารไว้ในที่นั้น ก็ยังปรากฏว่า กโปตกันทรา อยู่นั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กโปตกนฺทรายนฺติ เอวํนามเก วิหาเร.
บทว่า ชุณฺหาย รตฺติยา ได้แก่ ในราตรีศุกลปักษ์.
บทว่า นโวโรปิเตหิ เกเสหิ ได้แก่ มีผมที่ปลงไม่นาน ก็คำว่า เกเสหิ นี้ เป็นตติยาวิภัตติ ใช้ในลักษณะอิตถัมภูต.
บทว่า อพฺโภกาเส ได้แก่ ที่เนินกลางแจ้ง ที่ไม่มีเครื่องมุงหรือเครื่องบัง. ในพระเถระเหล่านั้น ท่านพระสารีบุตรมีวรรณดุจทองคำ ท่านมหาโมคคัลลานะมีวรรณดังดอกอุบลเขียว ก็พระมหาเถระทั้งสององค์นั้น เป็นชาติพราหมณ์โดยเฉพาะ สมบูรณ์ด้วยอภินิหาร สิ้นหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป บรรลุปฏิสัมภิทา ๖ เป็นพระขีณาสพผู้ใหญ่ ได้สมาบัติทุกอย่าง ถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ ๖๗ ประการ ทำกโปตกันทราวิหารแห่งเดียวกันให้สว่างไสวไพโรจน์ เหมือนสีหะ ๒ ตัว อยู่ถ้ำทองแห่งเดียวกัน เหมือนเสือโคร่ง ๒ ตัว หยั่งลงสู่พื้นที่เหยียดกายแห่งเดียวกัน เหมือนพญาช้างฉัททันต์ ๒ เชือก เข้าป่าสาลวัน ซึ่งมีดอกบานสะพรั่งแห่งเดียวกัน เหมือนพญาครุฑ ๒ ตัวอยู่ป่าฉิมพลีแห่งเดียวกัน เหมือนท้าวเวสวัณ ๒ องค์ ขึ้นยานสำหรับพาคนไปยานเดียวกัน เหมือนท้าวสักกะ ๒ องค์ ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เดียวกัน เหมือนท้าวมหาพรหม ๒ องค์ อยู่ในวิมานเดียวกัน เหมือนดวงจันทร์ ๒ ดวง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 428
และพระอาทิตย์ ๒ ดวง อยู่ในท้องฟ้าเดียวกันฉะนั้น. ในท่านเหล่านั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้นั่งนิ่ง ฝ่ายท่านพระสารีบุตรเข้าสมาบัติ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อญฺตรํ สมาธึ สมาปชฺชิตฺวา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺตรํ สมาธึ ได้แก่ อุเบกขาพรหมวิหารสมาบัติ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ผลสมาบัติอันมีอรูปฌานเป็นบาท. จริงอยู่ สมาบัติทั้ง ๓ นี้แหละเป็นสมาบัติที่สามารถรักษากาย. ในสมาบัติเหล่านั้น การเกิดโดยปริยายแห่งสมาธิของนิโรธสมาบัติ ได้กล่าวไว้ในหนหลังแล้วแล. แต่อาจารย์ทั้งหลายพรรณนาสมาบัติครั้งสุดท้ายเท่านั้น.
บทว่า อุตฺตราย ทิสาย ทกฺขิณทิสํ คจฺฉนฺติ ความว่า ไปสู่สมาคมยักษ์ในอุดรทิศ แล้วไปทักษิณทิศเพื่อไปยังภพของตน.
บทว่า ปฏิภาติ มํ ได้แก่ จิตของเราปรากฏ. จริงอยู่ บทว่า มํ เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ เพราะประกอบด้วยปฏิศัพท์ ความว่า จิตของเราเกิดขึ้นเพื่อจะตีศีรษะพระเถระนี้. ได้ยินว่า ยักษ์นั้นผูกอาฆาตพระเถระมาแต่ชาติก่อน เพราะเหตุนั้น พอเห็นพระเถระ เขาจึงมีจิตคิดประทุษร้ายอย่างนั้น. ฝ่ายยักษ์ผู้สหายเป็นผู้มีปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อจะห้ามยักษ์นั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อย่าเลย สหาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา อาสาเทสิ ได้แก่ อย่าพยายาม อธิบายว่า จงอย่าประหาร.
บทว่า อุฬาโร ความว่า ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้นอันยิ่ง คือ สูงสุด.
บทว่า อนาทิยิตฺวา ความว่า ไม่กระทำความเอื้อเฟื้อ คือ ไม่เชื่อถือคำของยักษ์ผู้เป็นสหายนั้น. ก็เพราะเหตุที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 429
ยักษ์ไม่เชื่อคำของยักษ์ผู้สหายนั้น จึงชื่อว่าไม่เอื้อเฟื้อยักษ์นั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตํ ยกฺขํ อนาทิยิตฺวา.
บทว่า สีเส ปหารํ อทาสิ ความว่า ทำความอุตสาหะให้เกิดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ยืนอยู่บนอากาศนั่นแหละ โขกที่ศีรษะ อธิบายว่า เอากำปั้นตีศีรษะ.
บทว่า ตาว มหา ความว่า ได้ประหารอย่างหนักปานนั้นด้วยเรี่ยวแรงอย่างมากมาย.
บทว่า เตน ปหาเรน ได้แก่ ด้วยการประหารนั้นอันเป็นตัวเหตุ.
บทว่า สตฺตรตนํ ได้แก่ ๗ ศอก โดยศอกของบุรุษปานกลาง.
บทว่า โส ได้แก่ ยักษ์.
บทว่า นาคํ ได้แก่ พญาช้าง.
บทว่า โอสาเทยฺย ได้แก่ พึงให้จมลง คือ พึงให้ดิ่งลงในแผ่นดิน. ปาฐะว่า โอสาเรยฺย พึงให้ประชุมลง ดังนี้ก็มี อธิบายว่า พึงกระทำให้แหลกละเอียด.
บทว่า อฑฺฒฏฺมรตนํ ความว่า เป็นที่เต็มแห่งวัตถุ ๘ ด้วยทั้งกึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าที่ ๘ ทั้งกึ่ง, ศอกที่ ๘ ทั้งกึ่งเป็นขนาดของช้างนั้น เหตุนั้น ช้างนั้นมีขนาด ๗ ศอกกึ่ง ซึ่งช้างนั้นมีขนาด ๘ ศอกกึ่ง.
บทว่า มหนฺตํ ปพฺพตกูฏํ ได้แก่ ยอดเขาอันกว้างขวางประมาณเท่ายอดเขาไกรลาศ.
บทว่า ปทาเลยฺย ได้แก่ พึงทำลายโดยอาการให้เป็นสะเก็ด เชื่อมความว่า ให้จมลงไปบ้าง ให้ทลายไปบ้าง.
ก็ในขณะนั้นนั่นเอง ความเร่าร้อนใหญ่เกิดขึ้นในร่างของยักษ์นั้น. ยักษ์นั้นอาดูรด้วยเวทนา เมื่อไม่อาจจะดำรงอยู่ในอากาศได้ จึงตกลงที่พื้นดิน. ในขณะนั้นนั่นเอง มหาปฐพีหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ รองรับขุนเขาสิเนรุซึ่งสูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ ประหนึ่งไม่อาจจะรองรับสัตว์ชั่วนั้นได้ จึงได้เปิดช่องให้. เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจีมหานรก จักยักษ์นั้นซึ่งกำลังคร่ำครวญอยู่นั่นแล. ยักษ์นั้นกำลังคร่ำครวญบ่นเพ้อตกไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 430
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ยักษ์นั้นจึงกล่าวว่า ร้อน ร้อน แล้วได้จมลงในมหานรกนั้นนั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวฏฺาสิ แปลว่า ได้ตกไปแล้ว.
ถามว่า ก็ยักษ์นั้นตกนรก ด้วยทั้งอัตภาพยักษ์นั่นแหละหรือ?
ตอบว่า ไม่ตก.
ก็ในที่นี้ เพราะพลังแห่งบาปกรรมซึ่งอำนวยผลในปัจจุบัน ยักษ์จึงเสวยทุกข์มหันต์ในอัตภาพเป็นยักษ์. อนึ่ง เพราะอุปปัชชเวทนียกรรมอันเป็นอนันตริยกรรม ยักษ์จึงเกิดในนรกถัดจากจุติ แต่ร่างกายของพระเถระที่ถูกพลังแห่งสมาบัติสนับสนุน จึงไม่มีวิการอะไรเลย. ความจริง ยักษ์ประหารท่านในเวลาที่ท่านยังไม่ออกจากสมาบัติ. ท่านพระมหาโมคคัลลานะเห็นยักษ์นั้นประหารอยู่อย่างนั้นด้วยทิพยจักษุ จึงเข้าไปหาพระธรรมเสนาบดี. และพร้อมกับเวลาที่เข้าไปหานั่นแหละ พระธรรมเสนาบดีก็ออกจากสมาบัติ. ในลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ จึงถามถึงความดูแคลนนั้นกะท่านพระธรรมเสนาบดี. ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีก็ได้พยากรณ์แก่ท่าน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นแล้วแล ฯลฯ ก็แต่ว่าศีรษะของผมมีทุกข์นิดหน่อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โถกํ ทุกฺขํ ความว่า ศีรษะของผมเป็นทุกข์ คือ ได้รับความทุกข์นิดหน่อย คือ มีประมาณน้อยนิดคล้ายหยดเทียน จริงอยู่ ศีรษะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ท่านเรียกว่า มีทุกข์ บาลีว่า สีเส โถกํ ทุกฺขํ เป็นทุกข์นิดหน่อยที่ศีรษะ ดังนี้ก็มี.
ถามว่า ก็เมื่อสรีระถูกพลังแห่งสมาบัติสนับสนุน ศีรษะของพระเถระเป็นทุกข์น้อยหนึ่งอย่างไร?
ตอบว่า เพราะท่านออกจากสมาบัติไม่นานเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 431
จริงอยู่ ทุกข์ไม่ปรากฏในภายในสมาบัติ เหมือนยุงเป็นต้นปรากฏแก่ผู้หลับ ปรากฏหน่อยหนึ่งแก่ผู้ตื่นขึ้น เพราะเนื่องด้วยกาย. เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะ. เกิดความคิดอัศจรรย์ขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่าความวิการ ย่อมไม่มีแม้ในร่างกายที่ถูกยักษ์มีกำลังมากประหารเอาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเช่นนั้น ประกาศความที่ท่านพระธรรมเสนาบดีมีอานุภาพมาก โดยนัยมีอาทิว่า น่าอัศจรรย์นะ สารีบุตร. ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีก็แสดงความที่ตนละได้เด็ดขาดซึ่งมลทิน มีริษยา ตระหนี่ และอหังการเป็นต้น โดยการประกาศว่า ตนมีอิทธานุภาพมาก แก่พระมหาโมคคัลลานะนั้น โดยนัยมีอาทิว่า น่าอัศจรรย์นะ โมคคัลลานะ.
บทว่า ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสาม ความว่า พวกเรามองไม่เห็นแม้ซึ่งขุททกเปรต ผู้เทียวไปตามสถานที่มีกองหยากเยื่อเป็นต้น. ดังนั้น พระมหาเถระ ผู้เป็นยอดแห่งผู้ปรารถนามรรคผล จึงได้กล่าวหมายถึงความไม่เห็นเปรตเหล่านั้น เพราะไม่ได้คำนึงถึงในกาลนั้น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า เอตรหิ ในบัดนี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ได้สดับการเจรจาปราศรัยนี้ของพระอัครสาวกทั้งสองด้วยทิพยโสตญาณ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อสฺโสสิ โข ภควา ดังนี้เป็นต้น. คำนั้น มีอรรถดังที่กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ได้แก่ ทรงทราบความที่ท่านพระสารีบุตรผู้ประกอบด้วยกำลังแห่งสมาบัติ มีอิทธานุภาพมากนี้.
บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ แสดงถึงการที่พระสารีบุตรนั้นนั่นแล ถึงความเป็นผู้คงที่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส เสลูปมํ จิตฺตํ ิตํ นานุปกมฺปติ ความว่า จิตของพระขีณาสพใด อุปมาด้วยภูเขาอันล้วนแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 432
ด้วยหินเป็นแท่งทึบ ตั้งอยู่โดยถึงความเป็นวสี เพราะไม่มีกิเลสเครื่องเอนเอียงทั้งหมด ย่อมไม่หวั่น คือ ย่อมไม่ไหว ด้วยโลกธรรมแม้ทั้งปวง.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการที่พระขีณาสพนั้น ไม่มีความหวั่นไหว พร้อมด้วยเหตุ จึงตรัสคำมีอาทิว่า วิรตฺตํ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิรตฺตํ รชนีเยสุ ความว่า ผู้ปราศจากความยินดี ในธรรมที่เป็นไปในภูมิสามแม้ทั้งหมด อันเป็นเหตุเกิดราคะ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ด้วยอริยมรรค คือ วิราคธรรม อธิบายว่า ตัดราคะได้เด็ดขาดโดยประการทั้งปวง ในธรรมที่เป็นไปในภูมิสามนั้น.
บทว่า โกปเนยฺเย ความว่า ย่อมไม่โกรธ คือ ย่อมไม่ขัดเคือง ได้แก่ ไม่ถึงอาการอันผิดแผกในอาฆาตวัตถุแม้ทั้งหมด อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง.
บทว่า ยสฺเสวํ ภาวิตํ จิตฺตํ ความว่า จิตอันพระอริยบุคคลตามที่กล่าวแล้วใด อบรมแล้ว โดยภาวะอันนำมาซึ่งความเป็นผู้คงที่ด้วยอาการอย่างนี้ คือ โดยนัยดังกล่าวแล้ว.
บทว่า กุโต ตํ ทุกฺขเมสฺสติ ความว่า ทุกข์จักเข้าถึงซึ่งบุคคลผู้สูงสุดนั้นแต่ที่ไหน คือ แต่สัตว์ หรือสังขาร อธิบายว่า บุคคลเช่นนั้น ย่อมไม่มีทุกข์.
จบอรรถกถาชุณหสูตรที่ ๔