การเทศนาและการสวดมนต์ของพระสฆ์
โดย worrawat  15 มิ.ย. 2550
หัวข้อหมายเลข 4011

ปัจจุบันมีพระสงฆ์ที่มีความเชี่ยวชาญทางวาทศิลป์ ได้กล่าวแสดงธรรมแบบ Talk show มีพระลูกคู่เพื่อรับมุกตลก มีการกล่าววาจาเพื่อให้เกิดความตลกขบขัน ดึงดูดความสนใจผู้ฟังในมีความเพลินเพลิน สอดแทรกธรรมะ ขอรียนถามว่า

๑. การเทศนาอย่างนี้ผิดพระวินัยหรือไม่

๒. การเล่นมุกตลก บางครั้งต้องกล่าวเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นจริง เพื่อนำมาเชื่อม โยงให้เข้าสู่กับมุกตลก เช่น มีโยมคนหนึ่งพยายามเอาแตงโมยัดใส่บาตร พระ ... เป็นต้น อย่างนี้เป็นการผิดศีลข้อมุสาหรือไม่ครับ

พระสงฆ์ที่ร้องเพลงแหล่ในเชิงเทศนาประกอบดนตรี พระบางวัดมีธรรมเนียมการสวดมนต์ด้วยทำนองที่ไพเราะหรือมีเอกลักษณ์ อย่างนี้ผิดพระวินัยหรือไม่ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย wannee.s  วันที่ 16 มิ.ย. 2550

การแสดงธรรม จุดมุ่งหมายเพื่อให้คนฟังเข้าใจธรรม และละคลายราคะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่แสดงธรรมเพื่อให้คนฟังเกิดความสนุก

ข้อที่ ๑ ไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต เป็นอาบัติ

ข้อที่ ๒ ถึงแม้ว่าจะพูดเล่นก็ไม่สมควร เป็นอาบัติ พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระ ราหุลว่า ไม่ควรพูดมุสาเพียงเพื่อหัวเราะกันเล่น


ความคิดเห็น 2    โดย study  วันที่ 17 มิ.ย. 2550

๑. ผิดพระวินัย เพราะไม่สำรวม เพราะไม่เคารพพระธรรม ๒. เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะมุสาก็ได้ เป็นอาบัติทุพพาษิต เพราะพูดไม่ดีก็ได้อยู่ที่เจตนา ดังข้อความในอรรถกถาพระวินัยว่า

[เล่มที่ 4] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้าที่ 25
ยังมีถ้อยคำอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปูรณกถา คือ ภิกษุรูปหนึ่งได้น้ำมันเล็กน้อยในบ้านแล้วกลับมาสู่วิหารพูดกะสามเณรว่า เธอไปไหนเสีย วันนี้ บ้านมีแต่น้ำมัน อย่างเดียว ดังนี้ ก็ดีได้ชิ้นขนมที่เขาวางไว้ในกระเช้า และพูดกะสามเณรว่า วันนี้ คนทั้งหลายในบ้าน เอากระเช้าหลายใบใส่ขนมไป ดังนี้ก็ดี นี้จัดเป็นมุสาวาท เหมือนกัน.


ความคิดเห็น 3    โดย study  วันที่ 17 มิ.ย. 2550

ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่

ตัวอย่างการพูดไม่สำรวมมีโทษสำหรับพระภิกษุ (มหาวิภังค์)


ความคิดเห็น 4    โดย study  วันที่ 17 มิ.ย. 2550

ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่

ตัวอย่างการพูดไม่สำรวมมีโทษสำหรับพระภิกษุ (มหาวิภังค์)


ความคิดเห็น 6    โดย medulla  วันที่ 17 มิ.ย. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย somjad  วันที่ 17 มิ.ย. 2550

วันนี้คนทั้งหลายในบ้าน เอากระเช้าหลายใบใส่ขนมไป ดังนี้ก็ดี นี้จัดเป็นมุสา วาทเหมือนกัน. ที่ว่าเป็นมุสาวาทเหมือนกันนั้น หมายถึง เฉพาะพระภิกษุ หรือว่า ทั่วไปครับถ้าพิจารณาถึงองค์ของมุสาวาทก็ไม่น่าจะใช่ เพราะว่าคนที่ฟังจะรู้ว่าที่พูด นั้นพูดล้อเล่น จึงไม่ครบองค์ ขอให้อธิบายอีกสักหน่อยนะครับ


ความคิดเห็น 8    โดย study  วันที่ 18 มิ.ย. 2550

ถ้าเป็นพระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์เพราะมุสาวาท ในเพราะโกหกเพื่อหัวเราะกันเล่น แต่ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปเป็นมุสาวาทที่ไม่ล่วงกรรมบถ เพราะไม่ทำลายประโยชน์ผู้อื่น


ความคิดเห็น 9    โดย olive  วันที่ 18 มิ.ย. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย natnicha  วันที่ 18 มิ.ย. 2550

ถ้าสิ่งที่พระทำนั้นไม่ถูกต้องตามพระวินัยแล้ว ทำไมจึงไม่มีพระภิกษุหรือคณะ สงฆ์ผู้ดูแลออกมาห้ามปราม หรือตักเตือนล่ะคะ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ พุทธศาสนิกชนสมัยนี้ ก็จะหลงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ที่ทำงานทำบุญเลี้ยงพระ และถวายเงินกับพระเพื่อไปสร้างโรงเรียน ส่วนตัวไม่ได้ถวายเงิน และยังได้บอก เพื่อนที่ทำงานว่าไม่ถูกต้องตามหลักพระวินัย เพื่อนก็ยังไม่เชื่อเพราะเห็นคนอื่นเขา ถวายกัน


ความคิดเห็น 11    โดย wannee.s  วันที่ 18 มิ.ย. 2550

ยุคนี้จะหาพระที่ประพฤติตามพระวินัยเคร่งครัดหายาก ถ้าเขาศึกษาพระวินัย และ เขาศึกษาธรรมด้วยก็จะช่วยให้พระไม่ต้องอาบัติเพราะเรา แต่เพราะเขาไม่ได้ ศึกษาเขาไม่รู้ก็ทำตามๆ กันค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย meema  วันที่ 21 มิ.ย. 2550

ตาม คห 11 ที่บอกว่าไม่ได้ศึกษาธรรม คือฆราวาส ใช่ไหม แต่พระศึกษาใช่ไหม แล้วฆราวาสทำผิดทำไมพระไม่บอกสิ่งที่ถูกต้องให้ฆราวาสฟังล่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย wannee.s  วันที่ 22 มิ.ย. 2550

พระบางท่านก็ไม่ได้ศึกษา อาบัติแล้วก็ยังไม่รู้ ฆราวาสเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ช่วยไม่ให้ท่านผิดพระวินัยมากไปกว่านี้ค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 2 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 2 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)