ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๕๘
โดย khampan.a  1 ก.ค. 2561
หัวข้อหมายเลข 29869

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๕๘

~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าภิกษุหรือคฤหัสถ์ เคารพใคร? เคารพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนคำที่พระองค์ตรัสไว้ได้หรือ ในเมื่อเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างไร มีใครคิดจะแก้ จะเปลี่ยนทั้งพระธรรมและพระวินัยบ้าง ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่มีความเคารพในพระบรมศาสดา เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรองให้ถูกต้องว่า จริงไหม ถูกต้องไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ไหม ไม่ว่าในกาลใดทั้งสิ้น

~ คฤหัสถ์ใดก็ตาม เพ่งโทษ (ชี้ให้เห็นว่า นี้เป็นโทษ) ติเตียน (ตำหนิในสิ่งที่ผิด) โพนทะนา (กระจายข่าวให้ผู้อื่นได้รู้ความจริงทั่วกัน) คฤหัสถ์นั้นทำกิจของพุทธบริษัทหรือเปล่า? เพื่อพระศาสนา แต่ไม่ใช่จะปกครองพระภิกษุ ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ทุกอย่างที่กระทำ เพื่อที่จะอนุเคราะห์ให้พระภิกษุได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า พระวินัย กล่าวไว้ว่าอย่างนี้ คือ ภิกษุใด รับเงินและทอง ยินดีในเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นโทษ (จะพ้นจากโทษดังกล่าวได้ต้องสละเงินในท่ามกลางสงฆ์ แล้วแสดงอาบัติเปิดเผยโทษ มีความสำรวมระวังที่จะไม่ทำผิดอย่างนั้นอีก จึงจะพ้นจากโทษนั้นได้)

~ ภิกษุทั้งหลายก็ควรจะเป็นผู้อดทนและสงบเสงี่ยมด้วย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น พุทธบริษัททั้งหมดเมื่อได้พิจารณาพระธรรม และเห็นคุณของพระธรรมทั้งหลาย ก็น้อมประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล จึงจะเป็นผู้ที่ประพฤติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง
~ พระภิกษุมีหน้าที่ที่ประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าหน้าที่ของคฤหัสถ์ ก็คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และแสดงธรรมเพื่อที่จะให้คฤหัสถ์ได้มีโอกาสเข้าใจถูกต้องด้วย

~ พุทธบริษัท บริษัทผู้เคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาพระธรรม พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็จะต้องศึกษาให้เข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้น ก็ไม่ใช่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และไม่ใช่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม
พระธรรม

~ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมเพียงเล็กน้อยอย่างไร ก็เป็นโทษ เป็นภัย ที่ควรจะละคลายบรรเทาขัดเกลาในขณะนั้นเอง ถ้าไม่เห็นอกุศลธรรมอย่างละเอียด จะทราบไหมว่า นั่นเป็นอกุศลธรรม เมื่อไม่ทราบก็ไม่ขัดเกลา แต่เมื่อใดที่เห็นภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษ ก็ย่อมมีความเห็นถูกที่จะขัดเกลาละคลายแม้อกุศลธรรมที่เพียงเล็กน้อยนั้น

~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ละเอียดมาก ชี้โทษและภัยของอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยอยู่เสมอ เพื่อจะให้เห็นตามความเป็นจริงว่าในชีวิตประจำวัน แม้ว่ากิเลสใหญ่อย่างโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็จริง แต่ในชีวิตประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยอกุศลธรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะให้เห็นโทษเห็นภัย แล้วควรขัดเกลาโดยไม่ประมาท

~ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะท่านมีอกุศลธรรมของท่านเอง

~ การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ที่ควรสงเคราะห์ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ยาก แต่ว่าในวันหนึ่งๆ ถ้าอกุศลจิตเกิด กระทำไม่ได้ บางท่านอาจจะเห็นว่า การสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ดี มีความเข้าใจถูกว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะที่ควรจะทำ (แต่กลับ) ไม่ทำ เคยเป็นอย่างนี้ไหม เพราะขณะนั้น อกุศลธรรมเกิดขึ้นครอบงำ ไม่สามารถที่จะกระทำแม้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ที่ควรสงเคราะห์ได้

~ ถ้าท่านสะสมกุศลเพิ่มขึ้น ความขยันในการที่จะศึกษาธรรม ฟังธรรม จะรู้สึกว่าจะเป็นไปได้โดยสะดวก ง่ายกว่าที่จะไปขยันในการหาความสนุกเพลิดเพลินในทางอกุศลทั้งหลาย เท่าที่เคยเป็นมา เพราะฉะนั้น สภาพธรรมซึ่งต่างกัน ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม สำหรับอกุศลธรรมนั้น นอกจากจะครอบงำให้หลงไปจากความจริงของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ก็ยังเป็นสภาพธรรมที่ทำให้ตั้งจิตไว้ในทางที่ไม่ชอบ แม้แต่การคิดหรือการกระทำ ก็จะเป็นไปในทางที่ไม่ถูก ในทางที่ไม่ชอบ

~ จิตของใครเป็นอกุศล อกุศลธรรมของผู้นั้นเองเบียดเบียนผู้นั้นให้เดือดร้อน

~ เพราะอะไรจึงไม่ดี? เพราะไม่ได้เข้าใจธรรมเลยไม่รู้ ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ

~ พระธรรมวินัยทั้งหมดยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพราะเหตุว่า บริสุทธิ์ สะอาด ขัดเกลากิเลส เป็นความจริงทุกประการ

~ สิ่งใดที่ผิด คนพาลไม่รู้ว่าผิด แต่บัณฑิตรู้ว่าผิด เพราะฉะนั้น เมื่อผิด แล้วแก้ เริ่มแก้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่ว่าถ้าผิดแล้วไม่รู้ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจที่จะรู้ ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้

~ ถ้าผู้ใดได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ พระรัตนตรัย แล้วสามารถที่จะแบ่งปันให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รับสิ่งนั้นด้วย เกิดมาก็คุ้ม แล้วก็มีค่ากว่าการที่เราจะให้สิ่งอื่นสิ่งใด เพราะเหตุว่า ถ้าให้สิ่งอื่นสิ่งใด ก็เฉพาะในชาตินี้ แต่ว่าถ้าให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นก็สามารถที่จะเจริญเติบโตต่อไปอีก

~ ทุกคนที่ฟังพระธรรม เป็นผู้ที่สะสมที่จะเห็นประโยชน์ว่าเกิดมาแล้ว ตายไป แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย ทำอะไร?

~ มีชีวิตอยู่เถิด ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อเพลิดเพลิน แต่เพื่อปัญญาปรากฏ (อบรมเจริญปัญญาเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง)

~ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งเข้าใจถูก พระศาสนาจึงยิ่งรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะรุ่งเรืองได้อย่างไร

~ คนที่ไม่สนใจฟังพระธรรม มีมากมาย เกิดมาก็สนุกสนานไปวันหนึ่งๆ มีชีวิตอยู่วันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ไม่ได้คิดว่า พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่ใช่ประโยชน์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้
~ ตลอดพระชนม์ชีพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้ประโยชน์กับคนอื่น จากแต่ละคำ แม้ว่าเขาจะอยู่แสนไกล หรือใกล้ที่จะปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็น ประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์

~ บวชอุทิศ (เจาะจง) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ก็ไม่สนใจฝักใฝ่ในคำของคนอื่นเพราะว่าไม่ได้บวชอุทิศคนอื่น ไม่ได้บวชอุทิศเจ้าแม่กาลีหรือว่าไม่ได้บวชอุทิศพระพิฆเนศหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อบวชอุทิศพระศาสดาก็ต้องมีคำของพระศาสดานั่นแหละ เป็นที่พึ่งที่จะทำให้เข้าใจและประพฤติปฏิบัติตาม

~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดำรงพระชนม์อยู่หรือจะปรินิพพาน คำนั้น ก็เป็นคำที่พระองค์ได้ตรัสรู้และทรงแสดง

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาไตร่ตรองแล้วก็รู้จักตัวเอง เพราะว่า ไม่มีใครไปบังคับให้ใครบวช ไม่มีใครไปชวนให้ใครบวช แต่ต้องรู้ว่า บุคคลนั้นสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ไม่ทำกิจใดๆ อย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปแล้วก็ขัดเกลากิเลสละเอียดกว่าคฤหัสถ์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ก็บวชได้ มิฉะนั้น จะบวชทำไม บวชแล้วทำตามคำของพระสัมมาสัมพระเจ้าที่ทรงบัญญัติไว้ไม่ได้ ก็ผิด ไม่เคารพ

~ ถ้าใครสนใจแล้วรู้คุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้นั้นก็เลื่อมใสในพระรัตนตรัย นี่เป็นการประกาศโดยไม่ต้องพูดหรือเปล่า จะไม่ทำสิ่งใดที่ผิดไปจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะศึกษาให้เข้าใจคำของพระองค์ แต่ที่ประกาศกับพระองค์ ก็เพื่อให้พระองค์ได้ทรงทราบว่าที่พระองค์ได้ตรัสนั้นมีผู้ที่เข้าใจและเลื่อมใสอย่างยิ่ง ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในคำสอนของบุคคลอื่น

~ ถ้าเราเข้าใจธรรมแล้วเราไม่ได้เกื้อกูลพุทธบริษัทด้วยกัน ประโยชน์จะมีไหม เป็นความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า, พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อพุทธบริษัทที่จะต้องอนุเคราะห์กัน ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด บริษัทอื่นที่เข้าใจถูกก็จะได้กล่าวข้อความให้บุคคลนั้นได้รับฟังได้พิจารณาได้ไตร่ตรอง แล้วแต่ว่าเขาจะเห็นโทษของการประพฤติผิดแล้วก็คิดที่จะประพฤติถูกหรือเปล่า เพราะว่ายาก ไม่ใช่ง่ายเลย แต่ทำได้ ถ้าทำ ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ถ้าไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างบรรพชิตตามพระธรรมวินัย ก็ลาสิกขา (มาเป็นคฤหัสถ์) สะดวกมากเลย

~ อดทนและเสียสละ เพื่อที่จะให้คนที่ไม่รู้จักพระภิกษุในพระธรรมวินัยได้เข้าใจให้ถูกต้องว่าภิกษุในพระธรรมวินัยคือใคร มิฉะนั้นก็เป็นโทษแก่ภิกษุผู้ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยและทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วย เพราะเหตุว่า เขาเข้าใจว่าภิกษุเป็นผู้นำพุทธบริษัท แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ภิกษุเป็นผู้นำ แต่พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วต่างหาก เป็นศาสดาแทนพระองค์

~ คนที่กล่าวธรรม กล่าวไปๆ แต่คนฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ก็เป็นการพล่ามเพ้อ

~ ไม่ให้อกุศลเกิด ห้ามไม่ได้ แม้แต่เดี๋ยวนี้อกุศลก็ยังเกิดได้ เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้น ซึ่งน่าอัศจรรย์เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาซึ่งเป็นความเห็นถูกที่ถูกต้องก็จะทำให้ไม่หวั่นไหวหรือว่าหวั่นไหวน้อยลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และทำสิ่งที่ถูกต้อง

~ ไม่รู้จักภิกษุในพระธรรมวินัยและไม่รู้จักสามเณรผู้ที่เป็นเชื้อสายของผู้ที่สงบคือภิกษุ แล้วจะให้บุคคลนั้นบวชได้อย่างไร แสดงว่าผู้นั้น ไม่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา

~ เมื่อปฏิญาณตนว่าเป็นคนนับถือพุทธ ก็ต้องนับถือโดยการศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นชาวพุทธที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย

~ ถ้าไม่มีหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ประเทศชาติและแต่ละคนจะเป็นอย่างไร

~ ไม่มีการรู้ล่วงหน้าเลยทั้งสิ้น แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเรื่องธรรม เข้าใจเรื่องกรรมซึ่งเป็นเหตุ และเข้าใจเรื่องผลของกรรม ก็จะไม่กระทำกรรมที่ไม่ดี เพราะตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว
~ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน วันไหนก็ไม่รู้ แล้วอะไรจะเป็นประโยชน์ที่สุดทั้งกับตนเองและคนอื่น

~ เหตุไม่ดี ต้องนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอย่างนี้จริงๆ มีหรือที่ใครจะทำชั่ว

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๕๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย panasda  วันที่ 1 ก.ค. 2561

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย มกร  วันที่ 1 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

* * * ...เมื่อปฏิญาณตนว่าเป็นคนนับถือพุทธ ก็ต้องนับถือโดยการศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นชาวพุทธที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเลย... * * *


ความคิดเห็น 3    โดย thilda  วันที่ 1 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย j.jim  วันที่ 2 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 2 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 3 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 4 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 5 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย peem  วันที่ 5 ก.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ