[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 187
๘. วิฆาสาทชาดก
ว่าด้วยการกินของที่เป็นเดน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 187
๘. วิฆาสาทชาดก
ว่าด้วยการกินของที่เป็นเดน
[๙๕๑] เหล่าชนผู้กินเดนทั้งหลาย พากันอยู่อย่างสบายดี จริงหนอ ในปัจจุบันก็น่าสรรเสริญ และในสัมปรายภพ ก็จะมีสุคติ.
[๙๕๒] ดูก่อนท่านบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อนกแก้ว พูดอยู่ ท่านทั้งหลาย ก็ไม่สงบใจฟัง. ดูก่อน ท่านพี่น้องร่วมท้องทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงฟังคำนี้ นกแก้วนี้ กำลังสรรเสริญเราทีเดียว
[๙๕๓] ดูก่อนท่านผู้กินซากศพทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สรรเสริญท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินของเหลือ เป็นปกติ แต่ท่านทั้งหลาย ไม่เป็นผู้กินเดน เป็นปกติ.
[๙๕๔] พวกเราบวชได้ ๗ พรรษาแล้ว เป็นเหมือนนกยูงอยู่กลางป่า เลี้ยงชีพด้วยอาหาร ที่เป็นเดนเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 188
ควรตำหนิไซร้ ใครหนอจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ ควรสรรเสริญ?
[๙๕๕] ของที่เหลือของราชสีห์ เสือโคร่ง และสัตว์ร้ายทั้งหลาย มีอยู่ ท่านทั้งหลาย เลี้ยงชีพ ด้วยอาหารที่เหลือนั้น นั่นเอง พวกเราสำคัญว่า ท่านทั้งหลาย เป็นผู้กินเดนเป็นปกติ.
[๙๕๖] ชนเหล่าใด ให้ทานแก่สมณะ พราหมณ์ และวณิพกอื่นแล้ว จึงบริโภคส่วนที่เหลือ ชนเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้กินเดน.
จบ วิฆาสาทชาดกที่ ๘
อรรถกถาวิฆาสาทชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ บุปผาราม ทรงปรารภภิกษุ ผู้มีศีลน่าเยาะเย้ย แล้วตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า สุสุขํ วต ชีวนฺติ ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้น ให้พระมหาโมคคัลลานเถระ ยังปราสาทให้สั่นสะเทือนแล้ว พากันสังเวชใจอยู่ ภิกษุทั้งหลาย พากันนั่งกล่าวโทษ ที่ไม่ใช่คุณของภิกษุเหล่านั้น ในโรงธรรมสภา. พระศาสดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 189
เสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ในบัดนี้? เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่ในแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุเหล่านี้ ก็เป็นผู้มีศีล เป็นที่เยาะเย้ยเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ในครั้งนั้น พี่น้อง ๗ คน ในหมู่บ้านกาสิกคาม ตำบลใดตำบลหนึ่ง เห็นโทษในกามทั้งหลาย พากันออกบวช เป็นฤาษี อยู่ท่ามกลางป่า ไม่ทำความเพียรในโยคะ เป็นผู้มากไปทางร่างกายแข็งแรง เที่ยวเล่นกีฬานานัปการ. ท้าวสักกะเทวราช ทรงดำริว่า เราจักให้ภิกษุเหล่านี้ สลดใจ แล้วทรงปลอมพระองค์ เป็นนกแก้ว เสด็จมาถึงที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น แอบอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้น สลดใจ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
เหล่าชนผู้กินเดนทั้งหลาย พากันอยู่อย่างสบายดีจริงหนอ ทั้งในปัจจุบัน ก็น่าสรรเสริญ ทั้งในสัมปรายภพ ก็จะมีสุคติ.
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถานั้นต่อไป นกแก้ว กล่าวหมายถึง พวกคนที่กินอาหาร ที่เหลือจากผู้อื่นกินแล้ว. บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม ความว่า เหล่าชนแบบนี้ ในปัจจุบันนี้ ก็ควรสรรเสริญทีเดียว และในสัมปรายภพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 190
คนเหล่านั้น ก็จะมีสุคติ คือ นกแก้วกล่าว โดยอธิบายว่า เขาเหล่านั้น จะเกิดในสวรรค์.
ลำดับนั้น บรรดาฤาษีเหล่านั้น ฤาษีตนหนึ่ง ได้ยินคำของนกแก้วนั้นแล้ว จึงเรียกคนที่เหลือมา แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนท่านบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อนกแก้ว พูดอยู่ ท่านทั้งหลาย ก็ไม่สงบใจฟัง ดูก่อน ท่านพี่น้องร่วมท้องทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงฟังคำนี้ นกแก้วนี้ กำลังสรรเสริญเราทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาสมานสฺส ความว่า เมื่อนกแก้ว พูดอยู่ ด้วยถ้อยคำของมนุษย์. บทว่า นิสาเมถ ได้แก่ ไม่ฟัง บทว่า อิทํ สุณาถ ความว่า ขอท่านทั้งหลาย จงฟังคำนี้ ของนกแก้วนั้น. เขาร้องเรียกคนเหล่านั้นว่า โสทริยา คือ พี่น้องร่วมอุทร เพราะความเป็นผู้อยู่แล้ว ในอุทรเสมอกัน.
ครั้งนั้นนกแก้ว เมื่อจะห้ามคนเหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ดูก่อนท่านผู้กินซากศพทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สรรเสริญท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลาย เป็นผู้กินของเหลือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 191
เป็นปกติ แต่ท่านทั้งหลาย ไม่เป็นผู้กินเดน เป็นปกติ.
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถานั้นต่อไป นกแก้วร้องเรียกคนเหล่านั้น ว่า กุณปาทา ความว่า ผู้กินซากศพ.
คนเหล่านั้น ได้ยินคำนั้นแล้ว ทั่วทั้งหมด ได้พากันกล่าวคาถา ที่ ๔ ว่า :-
พวกเราบวชได้ ๗ พรรษาแล้ว เป็นเหมือนนกยูงอยู่กลางป่า เลี้ยงชีพด้วยอาหาร ที่เป็นเดนเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ ควรตำหนิไซร้ ใครหนอ จะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ สรรเสริญ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิขณฺฑิโน ความว่า ประกอบด้วยหงอน. บทว่า วิฆาเสเนว ความว่า พวกเขาเมื่อเลี้ยงชีวิต ด้วยอาหารที่เป็นเดน ของราชสีห์ และเสือโคร่ง อย่างเดียวถึง ๗ ปี ตลอดกาล เท่านี้ ถ้าหากเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญ พึงตำหนิไซร้ ก็ใครเล่า จะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญควรสรรเสริญ.
พระมหาสัตว์ เมื่อให้คนเหล่านั้น สลดใจอยู่ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 192
ของที่เหลือของราชสีห์ เสือโคร่ง และสัตว์ร้ายทั้งหลาย มีอยู่ ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพ ด้วยอาหารที่เหลือนั้น นั่นเอง พวกเราสำคัญว่า ท่านทั้งหลาย เป็นผู้กินเดนเป็นปกติ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลานญฺจาวสิฏฺกํ ของที่เหลือ คือ โภชนะที่เหลือ ของสัตว์ร้ายทั้งหลายด้วย.
ดาบสทั้งหลาย ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าหากพวกเรา ไม่เป็นผู้กินเดนไซร้ ถ้าอย่างนั้นท่านตำหนิใครล่ะ? ใครเป็นผู้กินเดน.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะบอกข้อความนั้น แก่ดาบส เหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า :-
ชนเหล่าใด ให้ทานแก่สมณะ พราหมณ์ และวณิพกอื่นแล้ว จึงบริโภคส่วนที่เหลือ ชนเหล่านั้น เป็นผู้กินเดน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณิพฺพิโน ได้แก่ ผู้ขอสิ่งของนั้นๆ พระมหาสัตว์ ครั้นให้ดาบสเหล่านั้น สลดใจแล้ว จึงไปที่อยู่ของตน นั่นเอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 193
พระศาสดา ครั้นทรงนำ พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกไว้ว่า พี่น้องชาย ๗ คน ในครั้งนั้น ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล น่าเยาะเย้ยเหล่านี้ ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะ ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา วิฆาสาทชาดกที่ ๘