คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เรื่อง "ขันธ์"
แม้แต่คำว่า "ขันธ์" คำเดียว "ขันธะ" หมายความถึง สิ่งที่เกิด มีปัจจัย เกิดขึ้น แล้วดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะ ก็เป็นอย่างนี้ แต่จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และได้ทรงตรัสรู้ ความจริง ก็แสดง ความจริง ของ ทุกอย่าง ที่มี ซึ่งเป็น "แต่ละหนึ่ง" ไม่ซ้ำกันเลย มีปัจจัย เกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น จะเหมือนกับ สิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่ละอย่างที่เกิดขึ้น เป็นหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นี่ต้องเกิดแน่นอน เพราะปรากฏ ว่า มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป "เห็น" มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทั้งหมดเป็น "ขันธ์" สภาพธัมมะที่มีจริง ที่เกิดดับ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ขณะนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ฟังธัมมะ เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปไม่มี แล้วก็ไปคิดถึง ให้เข้าใจ แต่ในเมื่อสิ่งนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วก็ได้ฟังความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็เริ่มที่จะเข้าใจความจริง ว่า สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง จนกระทั่ง "คนที่ได้เข้าใจธัมมะ สามารถที่จะรู้แจ้งความจริงนี้ได้" เป็น สาวก คือ ผู้ฟัง
เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่รู้เลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เริ่มที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็น สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพื่อให้คนที่กำลังฟังในขณะนี้ รู้ตาม ไม่ใช่คิดเอง แต่รู้ตาม แม้แต่เพียงการเริ่มที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เป็นเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว ในบรรดาธัมมะทั้งหมด ในบรรดาขันธ์ทั้งหลาย "มีสิ่งนี้สิ่งเดียว" ที่สามารถ "ปรากฏให้เห็น" ได้ ก็ลองคิดดู แต่ละคำ เป็นความจริงไหม เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ได้มี "เห็น" อยู่ตลอดเวลา แม้ ธาตุรู้ คือ จิตที่เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น เมื่อ ทุกสิ่งทุกอย่าง มีปัจจัยที่จะเกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่รู้ จีงมีความติดข้อง คือ โลภะ ความพอใจ ในสิ่งที่ปรากฏ เพียงปรากฏให้เห็น ให้ติดข้อง แล้วก็หมดไป "ได้ยินเสียง" ชอบเสียงไหม? เสียงหมดแล้ว ชอบแล้วมีประโยชน์อะไร กับสิ่งที่เพียงปรากฏ ให้ชอบ ให้พอใจ ติดข้อง แล้วเสียงนั้น ก็หายไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะเป็นอย่างนี้
เพราะเหตุว่า แม้แต่คำว่า "สังสารวัฏฏ์" ก็หมายความถึงสภาพธัมมะ ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ เป็นไป ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น การฟังธัมมะ ก็คือว่า ให้ทราบว่า ฟังเมื่อไหร่ คือ เริ่มเข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่มีในขณะนี้ จนกว่าเริ่มเข้าใจ แต่ละคำด้วย เช่น คำว่า "ขันธ์" หมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดแล้วก็ดับ แต่มีปัจจัยเกิด มิฉะนั้นก็เกิดไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ดับก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะก็เป็นอย่างนี้ แต่ละขันธ์ แต่ละขันธ์
ข้อความจากกระทู้ : ขอถามเรื่องขันธ์ 5 ด้วยครับ
โดย khampan.a (อ.คำปั่น อักษรวิลัย)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์เลย (ขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นสภาพธรรมที่ "ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า" จากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน) ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว "ความเข้าใจ" มาก่อน "ชื่อ" มาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว "ขันธ์" มีจริงๆ และมีจริงในขีวิตประจำวันในขณะนี้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงได้เลย ไม่ว่าจะยกสภาพธรรมใดขึ้นมากล่าว ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริงๆ เกิดแล้วดับไป ทั้งหมด เป็นขันธ์ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา