เรียนท่านวิทยากร ได้ยินคำว่า ปริกรรม มาแล้ว
ไม่ทราบว่า เหมือนหรือแตกต่างกับ ปริกัมม ไหมและ มีรายละเอียดอย่างไร
ขอความกรุณาช่วยอธิบายด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า บริกรรม เป็นภาษาไทยที่ใช้ บ ใบไม้ แต่ถ้าเป็นบาลี ใช้ ตัว ป ปลา เป็น ปริกัมม
ดังนั้น ปริกัมม กับ บริกรรม มีความหมายอรรถ อย่างเดียวกัน ครับ แต่นิยมใช้คำว่า บริกรรม ครับ
บริกรรม ภาษาบาลี คือ ปริกมฺม
ซึ่ง การศึกษาพระธรรม จะต้องเป็นผู้ละเอียด แม้แต่คำว่า บริกรรม จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับ บริกรรม ไม่ได้หมายถึง การท่องบ่น แต่ความหมายของบริกรรม คือ การกระทำโดยรอบ การปรุงแต่งให้เกิด และ รวมถึงการนวดด้วย ดังนั้น การบริกรรม จึงไม่ใช่การท่องบ่น แต่เป็นการกระทำปรุงแต่งให้จิตเป็น อัปปนาสมาธิ ได้ฌาน มีการบริกรรมกสิณ ก็ไม่ใช่การท่องบ่น เป็นคำๆ แต่เป็นการคิดพิจารณาอย่างแยบคาย ทำให้เกิดความสงบของจิตที่เป็นกุศล การพิจารณาอย่างแยบคายที่ทำให้เกิดความสงบของจิต ขณะนั้นเป็นบริกรรม เป็นการปรุงแต่งให้เกิด (ปริกัมม) ปรุงแต่งให้เกิดความสงบของจิตที่เป็นกุศล จนถึงได้ฌาน เป็นต้น ครับ สรุปว่า บริกรรม กับคำว่า ปริกัมม เหมือนกันครับ ถ้าเป็นบาลีใช้คำว่า ปริกัมม ถ้าเป็นภาษาไทยใช้คำว่า บริกรรม ครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
บริกรรมจิต
คำบริกรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ย่อมไม่พ้นไปจากให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริง แม้แต่คำว่า บริกรรม หรือ ปริกมฺม ก็หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่กล่าวถึงนั้น คือ อะไร? เป็นการพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย จนกว่าจะได้ศึกษาพระธรรม เมื่อได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ก็จะไม่เข้าใจผิด เพราะพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิด เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้อง แม้แต่คำว่า บริกรรม ก็เช่นเดียวกัน เป็นคำที่มีความหมายอย่างชัดเจนว่า หมายถึง การปรุงแต่งให้เกิด ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลที่ไปปรุงแต่ง แต่เป็นมหากุศลจิตที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นในฌานวีถี หรือ ในมัคควิถี ถ้าเป็นในฌานวิถี ก็เป็นการปรุงแต่งให้เกิดความสงบ กล่าวคือ ปรุงแต่งให้ฌานจิตเกิด ถ้าเป็นในมัคควิถี ก็ปรุงแต่งให้เกิดการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งพระนิพพาน กล่าวคือ ปรุงแต่งให้โลกุตตรกุศล เกิดขึ้นนั่นเอง เพราะเป็นขณะจิตที่เกิดก่อนขณะที่เป็นโลกุตตรกุศล ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนถามอ. ผเดิมและอ. คำปั่น
๑. การเข้าสู่ฌานจิตจากญาณสัมปยุตมหากุสล ไปสู่ ปฐมฌานรูปาวจร เป็นอย่างไร
๒. การเข้าสู่ฌานจิตจากญาณสัมปยุตมหากุสล ไปสู่ ปฐมฌาน. โสดาปัตติมัคจิต เป็น อย่างไร
๓. ในข้อ ๑ และ ๒ อาการของเจ้าของจิตรู้ได้อย่างไรว่าจิตตนอยู่ระดับไหน ถ้าไม่มีพระ อริยบุคคล พระพุทธเจ้าที่จะล่วงรู้จิตของผู้บริกรรมนั้นๆ
๔. ในสมัยปัจจุบัน มีหลายสำนักตั้งสำนักให้บริกรรมหลายชนิด เขาทำอะไรกัน แล้วทำแล้วถูกต้องไหม น่าไปร่วมกิจกรรมด้วยไหมคะ
๕. มศพ. เน้นที่การฟังธรรมให้เกิดปัญญา แต่ก็มีช่วงการสนทนาธรรมที่เกี่ยวกับวิปัสสนา แล้ว เมื่อไร จะปฏิบัติได้จริงเพื่อวิปัสสนาธรรมจะบังเกิดจริงคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ 5 ครับ
- เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก การที่อบรมเจริญสมถภาวนา จนกระทั่งจิตสงบแนบแน่นเป็นฌานขั้นต่างๆ นั้น เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก เห็นความต่างกันของกุศลและอกุศล พร้อมทั้งรู้ด้วยว่าจิตจะสงบได้ด้วยอารมณ์อะไร เมื่ออบรบเจริญอย่างถูกต้อง ผล คือ ฌานจิตเกิดขึ้น ข้ามจากจิตขั้นที่เป็นกามาวจร ถึงจิตอีกระดับหนึ่งที่เป็นรูปาวจร (รูปฌาน) เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สำหรับในยุคนี้สมัยนี้เป็นเรื่องที่ยากมากกับการอบรมเจริญสมถภาวนา จนกระทั่งฌานจิตเกิด
ส่วนในเรื่องของการที่มีมัคคจิต ผลจิตเกิดพร้อมกับองค์ฌานขั้นต่างๆ นั้น จะต้องเป็นผู้อบรมเจริญสมถภาวนา จนคล่องแคล่วชำนาญ พร้อมกับเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานที่จะระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น ชัดแจ้งขึ้น ก็ย่อมละคลายความยึดถือเห็นผิดว่าเป็นตัวตนลง เมื่อโลกุตตรจิตขั้นใดเกิดขึ้นพร้อมกับองค์ของฌานขั้นใด โดยมีฌานขั้นนั้นเป็นบาท (คือ เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน) ก็เป็นมัคคจิตและผลจิตที่เป็นโลกุตตรฌานขั้นนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่ได้ฌานขั้นต่างๆ นั้น มีน้อยกว่า ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่ไม่ได้ฌาน
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องรู้ที่รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ
- เนื่องจากพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ผู้ที่ไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม จึงไม่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษา ความเข้าใจที่ถูกต้องก็เกิดมีไม่ได้ เมื่อไม่มีความเข้าใจถูกเป็นเครื่องนำทางแล้ว ย่อมไม่สามารถดำเนินไปในทางที่ถูกได้ ในเมื่อมีความเข้าใจผิด การประพฤติปฏิบัติที่ผิด ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด จึงเกิดขึ้นมากมายเป็นไปตามความเห็นที่ผิด มีแต่จะเพิ่มพูนอกุศลทั้งหลาย มีความเห็นผิดและความไม่รู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น คำสอนใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ มีแต่จะเป็นไปเพื่อความติดข้องต้องการ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควรเข้าใกล้อย่างเด็ดขาด
ทางที่ดีที่สุดแล้ว ควรเริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อยังไม่ได้ศึกษา ก็ต้องศึกษาก่อน อย่าไปทำอะไรด้วยความไม่รู้
- มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงพระธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ตาม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ฟัง ไ่ม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย ที่มูลนิธิฯ ทุกวันอาทิตย์ เวลา ๑๔.๐๕ น. - ๑๖.๐๐ น. มีการสนทนาเรื่อง "ปฏิบัติธรรม" โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร เพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ธรรม คือ อะไร ปฏิบัติ คือ อะไร เป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง เป็นการป้องการความเห็นผิด ป้องกันการไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เพราะปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมที่ปฏิบัติหน้าที่ของธรรม กล่าวคือ ธรรมฝ่ายดี คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการถึงเฉพาะซึ่งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าเหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถเกิดขึ้นได้ จะต้องมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจในขั้นของปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมคำสอน เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย สติปัญญาเกิดขึ้นถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็เป็นไปตามที่ได้ศึกษามาทุกประการ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...